ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กะถินแดง

♢กะถินแดง
กะถินแดงหรือแฉลบแดงเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ Leguminosae (วงศ์ย่อย Mimosoideae) มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Acacia leucophloea (Roxb.) Willd. เรียก พญาไม้ (กาญจนบุรี) ก็มี พบขึ้นประปรายในป่าทุ่งและป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป ยกเว้นภาคใต้ เป็นพืชที่ชอบแสงสว่าง ขึ้นได้บนพื้นที่เสื่อมโทรมและทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี

♤ต้นกะถินแดงเป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงได้ถึง ๑๒ เมตร เรือนยอดแบนแผ่กว้างคล้ายร่ม เปลือกเรียบ สีเขียวอ่อน มีประด่างกระจายอยู่ทั่วไป ตามผิวอาจพบตกสะเก็ดเป็นแผ่นบางๆ ไม่เป็นระเบียบ เมื่อลำต้นมีอายุมากขึ้นเปลือกมักจะขรุขระและมีสีเข้มขึ้น ตามโคนกิ่งมีหนามแหลมกระจัดกระจาย 

♤ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ๒ ชั้น มีขนละเอียดคลุมบางๆ ก้านใบประกอบสั้นมาก รอยต่อระหว่างปลายก้านใบประกอบกับช่อใบคู่ล่างสุดมีตุ่มหูดปรากฏชัดเจน ใบประกอบแต่ละใบมีช่อใบ ๕-๑๒ คู่ แต่ละช่อใบมีใบย่อย ๑๕-๓๐ คู่ ใบย่อยเล็กมาก คล้ายรูเข็ม ไม่มีก้านใบ ใบย่อยแต่ละคู่ขึ้นชิดซ้อนกัน ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้นๆ ฐานใบค่อนข้างเบี้ยว 
♤ดอกมีขนาดเล็กมาก เป็นช่อกลมเล็ก สีขาวอมเหลือง ไม่มีก้านดอก มีจำนวนมากอยู่บนช่อใหญ่ที่แตกแขนงออกมาตามปลายกิ่ง มีขนละเอียดสีขาวอมเหลืองปกคลุมทั่วไป กลีบเลี้ยงติดกันแบบรูปแตร กลีบดอกติดกัน ปลายกลีบยื่นออกมาเหนือกลีบเลี้ยง เกสรตัวผู้อื่นออกมาเหนือส่วนอื่นๆ ของกลีบดอก 
ฝักกะถินแดง
♤ติดผลยาก ตัวฝักโค้งเล็กน้อย ปลายฝักมนหรือมีติ่งสั้นๆ มีขนละเอียดสีน้ำตาลเหลืองปกคลุมหนาแน่น ฝักแก่จะแตกออกตามตะเข็บด้านข้าง เมล็ดรูปไข่ แบน สีน้ำตาลคล้ำ เป็นมัน มี ๙-๒๐ เมล็ดตำราสรรพคุณยาโบราณว่าเปลือกต้นมีรสฝาด เป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องร่วง ท้องเสียชาวบ้านบางถิ่นใช้น้ำฝาดสีแดงปนน้ำตาลจากเปลือกต้นเป็นสีย้อม เช่น ใช้ย้อมหนัง ผ้า แห
เนื้อไม้มีสีน้ำตาลปนแดงถึงสีอิฐ ค่อนข้างแข็ง แน่น เสี้ยนสนมักมีเส้นสีอ่อนและสีแก่กว่าสีพื้นสลับ ขัดเขาได้ดี ใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ ทำเครื่องเรือน ใช้ทำพื้นเรือน ใช้กั้นบ่อน้ำ ร่องน้ำ และกังหัน

ขอบชะนางแดง

ขอบชะนางแดง
■ขอบชะนางแดง
ขอบชะนาง มีอยู่ ๒ ชนิด คือ “ขอบชะนางขาว”
และ “ขอบชะนางแดง” ซึ่งได้จากพืชสมุนไพรในวงศ์ Urticaceae ๒ ชนิดคือ ชนิดที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Pouzolzia zeylanica Benn.
ชอบชะนางขาว2222(Pouzolzia indica Gaud.) และ Pouzolzia pentandra Benn. มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น เปลือกมืนดิน (แม่ฮ่องสอน) หญ้าหนอนตาย(พายัพ) หญ้ามูกมาย(ลพบุรี สระบุรี)
พืชทั้งสองชนิดนี้ต้นจะตั้งตรงและเป็นพืชขนาดเล็ก เมื่อโตขึ้นต้นจะเลื้อยทอดยาวไปตามผิวดิน ลักษณะใบเป็นแบบใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามกัน ใบรูปไข่กว้าง ๑-๑.๕ ซม. ยาว ๒-๓ ซม. สีเขียวอ่อน ส่วนใบขอบชะนางแดง

♤ใบเป็นแบบรูปหอก กว้าง ๑.๕-๒.๕ ซม. ยาว ๕-๘ ซม. มีสีเขียวแกมน้ำตาลบริเวณหลังใบ และมีสีม่วงแดงที่ท้องใบ
♤ดอกเป็นดอกช่อและออกเป็นกระจุกที่บริเวณซอกใบ เป็นดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ส่วนขอบชะนางขาวมีดอกย่อยเป็นสีขาวนวล ขอบชะนางแดงมีดอกย่อยเป็นสีแดง ผลเป็นลักษณะผลแห้งและไม่แตกขอบชะนางแดง2222

♤ตามตำราของสรรพคุณยาไทยโบราณว่า ต้น ใบ และ
ดอกมีรสเบื่อเมา น้ำต้มต้นขอบชะนางเป็นยาฆ่าหนอนและแมลงได้ดี เมื่อหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในน้ำหล่อปากไหปลาร้าที่มีหนอนก็จะทำให้หนอนตายหมด
แพทย์โบราณได้ใช้ขอบชะนางปรุงเป็นยาขับประจำเดือนและขับระดูขาว แก้หนองใน แก้น้ำเหลืองเสีย แก้เม็ดผื่นคันตามตัว ขับปัสสาวะ ใบตำพอกฝี เพื่อขจัดหนอง แก้ปวดบวม แก้อักเสบ โดยใช้ต้นขอบชะนางทั้งสองชนิดรวมกัน เรียกว่า ขอบชะนางทั้งสอง

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558

พลับพลึงธาร ที่ใกล้สูญพันธุ์

พลับพลึงธาร
♡พลับพลึงธาร ผืนสุดท้ายของไทยใกล้สูญพันธุ์
ประเด็นเล็กๆ ที่กลุ่มคนรักธรรมชาติยังคงติดตามความคืบหน้า กรณี พลับพลึงธาร หรือ หอมน้ำ แห่งเดียวในโลก บริเวณคลองนาคา จ.ระนอง ติดต่อกับ จ.พังงา ซึ่งปัจจุบันถูกรุกล้ำและทำลาย ใกล้สูญพันธุ์ในกลุ่มพืชน้ำชนิดนี้พลับพลึงธาร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของ จ.ระนอง ตั้งอยู่บริเวณคลองนาคา อ.สุขสำราญ โดยปกติช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม พลับพลึงธารจะเบ่งบานออกดอกสวยงาม และจะมีการจัดเทศกาลล่องแพพลับพลึงธารเป็นประจำทุกปี แต่เพราะปัญหาดังกล่าว ทำให้ในปีนี้ทางจังหวัดต้องสั่งยกเลิกกิจกรรมไปแล้วในที่สุด
♡สำหรับประเด็นปัญหาดังกล่าว กลุ่มคนรักธรรมชาติในไทย ต่างแสดงความเป็นห่วงปัญหาที่เกิดขึ้นกับพลับพลึงธาร จึงได้มีผู้ตั้งกระทู้ประเด็นดังกล่าวในเว็บไซต์พันทิป ผู้ใช้ชื่อ คุณ Kingpai และ คุณ WITH PEN IN HAND เป็นผู้ตั้งกระทู้ดังกล่าว พร้อมกับนำบทความของ คุณโรจนา บุญชูวงศ์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยมาเผยแพร่ และนำภาพความเปลี่ยนแปลงที่พลับพลึงธารตลอดระยะเวลา 5 ปี มาเปรียบเทียบกันจนสังเกตเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
ปัญหาที่เกิดขึ้นที่พลับพลึงธารนั้น แหล่งข่าวระบุว่าเกิดขึ้นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของหน่วยงานบางหน่วย ที่สั่งดำเนินการโครงการขุดลอกลำคลอง ทำให้น้ำเปลี่ยนเส้นทางและรุกล้ำพลับพลับธาร อีกกรณีคือปัญหาการลักลอบเก็บหัวพลับพลึงธารไปขาย จนทำให้ปัจจุบันในปี 2555 อาจจะบอกได้ว่า พลับพลึงธารแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่คลองนาคาอีกแล้ว
♡แม้ว่ายังคงมีการประชุมระดมหารือกันในประเด็นนี้ แต่ผู้นำแต่ละฝ่ายต่างมองกรณีนี้แตกต่างกัน ผู้นำระดับจังหวัดเห็นว่า หิน ดิน ทราย ในคลองนาคาสวยงาม เหมาะนำไปขายต่อ ส่วนผู้นำระดับอำเภอเห็นว่า การขุดลอกคูคลองกับพลับพลึงธารเป็นคน
ละประเด็นไม่เกี่ยวกัน ผู้นำระดับท้องถิ่นมองว่า พลับพลึงธารเป็นเพียงหญ้ารกๆ ไร้ประโยชน์ แต่ชาวบ้านมองว่า พลับพลึงธารเป็นสิ่งควรอนุรักษ์เอาไว้
พลับพลึงธาร เป็นพืชน้ำที่มีความสวยงามและหายากมากที่สุดชนิดหนึ่ง พบได้ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา เดิมเคยพบอยู่ที่คลองบางปง อ.คุระบุรี แต่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ทำให้พลับพลึงธารที่คลองนาคาได้ชื่อว่า เป็นสถานที่เดียวในโลกที่ยังหลงเหลือ หากพืชน้ำพันธุ์นี้หมดไปก็เป็นเรื่องยากที่ทำให้พลับพลึงธารเติบโตได้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ชะอมและคุณประโยชน์

ชะอม
♧ชะอม
ชะอม ชื่อสามัญ Climbing Wattle, Acacia, 
Cha-om
ชะอม ชื่อวิทยาศาสตร์ Acacia pennata (L.) Willd. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยสีเสียด (MIMOSOIDEAE หรือ MIMOSACEAE)
ผักชะอม มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ผักหละ (ภาคเหนือ), อม (ภาคใต้), ผักขา (ภาคอีสาน อุดรธานี), พูซูเด๊าะ (แม่ฮ่องสอน), โพซุยโดะ (กะเหรี่ยง) เป็นต้น

♧ลักษณะของชะอม
ต้นชะอม เป็นไม่พุ่มขนาดย่อม มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ ลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนามแหลม ส่วนลักษณะของใบชะอม เป็นใบประกอบสีเขียวขนาดเล็ก มีก้านใบย่อยแตกออกจากแกนกลางใบ มีลักษณะคล้ายกับใบส้มป่อยหรือใบกระถิน ใบอ่อนจะมีกลิ่นฉุน ใบย่อยมีขนาดเล็กออกตรงข้ามกัน คล้ายรูปรีประมาณ 13-28 คู่ ปลายใบแหลมขอบใบเรียบ ใบย่อยจะหุบในเวลาเย็น และแผ่ออกเพื่อรับแสงในช่วงกลางวัน ส่วนดอกชะอม มีขนาดเล็กออกตามซอกใบ มีสีขาวถึงขาวนวลชะอม

♧วิธีการปลูกชะอม ปลูกโดย การปักชำ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง หรือการโน้มกิ่งลงดิน โดยไม่ต้องต่อตาหรือชำกิ่ง การปลูกผักชะอมส่วนมากจะใช้วิธีการเพาะเมล็ด เพราะจะได้ต้นที่แข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้อม มีหนามหนากว่าการปลูกด้วยวิธีอื่น

♧การปลูกชะอม ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด โดยนำมาเมล็ดชะอมมาใส่ถุงพลาสติก รดน้ำวันละครั้ง เมื่อเมล็ดงอกก็ให้ทำการย้ายลงดิน โดยปลูกห่างหันประมาณ 1 เมตร และให้ปุ๋ยสดหรือมูลสัตว์ในการบำรุงต้น ถ้าปลูกในฤดูร้อนแล้วหมั่นรดน้ำจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าการปลูกในฤดูฝน เพราะเมล็ดชะอมมีโอกาสเน่าได้สูง ผักชะอม ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีโรคและแมลงศัตรูพืชมารบกวนเท่าไหร่ หากพบก็ใช้ปูนขาวโรยไว้รอบโคนต้น แต่ถ้าเป็นแมลงมีหนอนกินยอดชะอมก็ให้ใช้ยาฆ่าแมลงฉีดทุก ๆ 8 วัน การเก็บยอดชะอม ควรเก็บให้เลือกยอดไว้ 3-4 ยอดเพื่อให้ต้นได้โต เพื่อความปลอดภัยควรเก็บหลังจากการฉีดยาฆ่าแมลงแล้วไม่น้อยกว่า 7 วัน และสามารถเก็บเกี่ยวจากต้นที่ปลูกกิ่งตอนได้ 10-15 วัน และตัดยอดขายได้ทุก ๆ 2 วัน
ต้นชะอม
♧ต้นชะอม
ประโยชน์ของชะอม
ประโยชน์ชะอมช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเนื่องจากมีวิตามินเอสูง
●สรรพคุณของชะอม ยอดชะอมช่วยลดความร้อนในร่างกายได้
ผักรสมันอย่างชะอม มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ
ชะอม สรรพคุณช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคท้องผูก
รากชะอมนำมาฝนกินช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และช่วยขับลมในลำไส้
ประโยชน์ชะอมสรรพคุณชะอมมีส่วนช่วยบำรุง
เส้นเอ็น
ช่วยแก้อาการลิ้นอักเสบเป็นผื่นแดง
●ประโยชน์ของชะอม ช่วยฟื้นฟูผมแห้งเสีย แตกปลาย ด้วยสูตรน้ำชะอมหมักผม เพียงแค่นำใบชะอมประมาณ 1 กำมือมาต้มกับน้ำเปล่า 3 ถ้วย จนได้น้ำชะอมเข้มข้นกรองเอาแต่น้ำ เมื่อสระผมเสร็จให้นำมาผ้าขนหนูมาชุบน้ำชะอมที่เตรียมไว้ บิดพอหมาด นำมาเช็ดผมให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผมแห้ง ๆ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

♧ชะอม 
●ประโยชน์นำมาทำเป็นเมนูอาหารได้หลาก
หลายเมนู เมนูชะอม เช่น ไข่ชะอม ไข่ทอดชะอม ชะอมชุบไข่ แกงส้มชะอมกุ้ง แกงส้มชะอมไข่ นำมาลวกหรือนึ่งใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก น้ำพริกกะปิ รับประทานร่วมกับส้มตำมะม่วง ตำส้มโอ หรือจะนำไปปรุงเป็นแกงรวมกับปลา เนื้อ ไก่ กบ เขียด หรือต้มเป็นอ่อม ทำแกงลาว แกงแค เป็นต้น
●คุณค่าทางโภชนาการของยอดชะอม 100 กรัม
ชะอม ประโยชน์พลังงาน 57 กิโลแคลอรี่
เส้นใยอาหาร 5.7 กรัม
ธาตุแคลเซียม 58 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 4.1 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 10066 IU
วิตามินบี1 0.05 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.25 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.5 มิลลิกรัม
วิตามินซี 58 มิลลิกรัม
♧โทษของชะอม
●สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งมีบุตรอ่อนไม่ควรรับประทานผักชะอม เพราะจะทำให้น้ำนมแม่แห้งได้
ผักชะอมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อนจะแพ้กลิ่นของ
ผักชนิดนี้อย่างมาก ดังนั้นควรอยู่ห่าง ๆ
●การรับประทานผักชะอมในหน้าฝน อาจจะมีรสเปรี้ยวกลิ่นฉุนบางครั้งอาจทำให้มีอาการปวดท้องได้(ปกตินิยมรับประทานผักชะอมหน้าร้อน)กรดยูริกเป็นตัวการที่ทำให้เกิดข้ออักเสบในผู้ป่วยโรคเกาต์ ซึ่งเกิดมาจากสารพิวรีน (Purine)โดยผักชะอมนั้นก็มีสารพิวรีนในระดับปานกลางถึงระดับสูง 
●ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถรับประทานได้แต่ควรรับประทานในปริมาณที่จำกัดหากเป็นมากก็ไม่ควร
รับประทาน เพราะจะทำให้ปวดกระดูกได้
●อาจพบเชื้อก่อโรคอย่าง ซาลโมเนลลา (Salmonella)ซึ่งเป็นเชื้อที่สามารถพบได้ทั่วไปในสภาพแวดล้อม เช่น ดิน น้ำ อากาศ เมื่อเรานำผักชะอมที่ปนเปื้อนสารชนิดนี้มาประกอบอาหารโดยไม่ล้างทำความสะอาดหลาย ๆครั้ง หรือไม่นำมาปรุงให้สุกก่อนรับประทาน อาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อชนิดได้ โดยผู้ที่ได้รับเชื้อชนิดอาจจะมีอาการท้องเสีย ปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำสีเสียว หรือถ่ายเป็นมูกมีเลือดปน มีไข้ เป็นต้น

แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์เดออะแดนดอทคอม, สถาบันการแพทย์แผนไทย, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ต้นพันงูเขียว

พันงูเขียว ชื่อสามัญ Brazilian Tea, Bastard Vervain, Jamaica False Veravin, Arron’s Rod
พันงูเขียว ชื่อวิทยาศาสตร์ Stachytarpheta jamaicensis (L.) Vahl จัดอยู่ในวงศ์ผกากรอง (VERBENACEAE)
สมุนไพรพันงูเขียว มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เจ๊กจับกบ (ตราด), เดือยงู พระอินทร์โปรย (ชุมพร), หญ้าหนวดเสือ (ภาคเหนือ), สี่บาท สารพัดพิษ (ภาคกลาง), หญ้าหางงู (ภาคใต้), ลังถึ่งดุ๊ก (กระเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), เล้งเปียง (จีนแต้จิ๋ว), ยี่หลงเปียน ยวี่หลงเปียน เจี่ยหม่าเปียน (จีนกลาง), ฉลกบาท, หญ้าพันงูเขียว เป็นต้น
ลักษณะของพันงูเขียว
ต้นพันงูเขียว จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกพวกหญ้า ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง มีความสูงได้ประมาณ 50 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านสาขาทางด้านข้าง ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด พรรณไม้ชนิดนี้พบได้ในแถบเขตร้อนทั่วไป โดยมักขึ้นตามเนินเขา ตามทุ่งนา ทุ่งหญ้า พื้นที่เปิด หรือตามริมถนน ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 600 เมตร
ใบพันงูเขียว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบเป็นรูปลิ่ม ขอบใบหยักคล้ายฟันเลื่อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร
ดอกพันงูเขียว ออกดอกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่ง ดอกเป็นสีม่วงน้ำเงิน เป็นรูปกลมงอเล็กน้อย มีกลีบดอก 5 กลีบ มีกาบใบ 1 ใบ ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม มีฟันเลื่อย 4-5 หยัก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน และมีรังไข่ 2 ห้อง ดอกจะออกในช่วงฤดูร้อน


ผลพันงูเขียว ผลมีกลีบเลี้ยงหุ้มอยู่ พบได้ในบริเวณช่อดอก ถ้าแห้งแล้วจะแตกออกได้ ภายในผลมีเมล็ด
สรรพคุณของพันงูเขียว
*ทั้งต้นมีรสขม ชุ่ม เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อปอดและลำไส้ใหญ่ *ใช้เป็นยาขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ช่วยขับเหงื่อ (ทั้งต้น)
*ทั้งต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ ลดไข้ (ทั้งต้น)
*ทั้งต้นใช้เป็นยารักษาโรคตาแดง (ทั้งต้น) ตำรับยาแก้ตาบวม ตาแดง ตาอักเสบ จะใช้พันงูเขียวทั้งต้น 35 กรัม, เจียไก้หลาน 35 กรัม และอิไต้เถิง 25 กรัม นำมารวมกันตำผสมกับพิมเสนเล็กน้อย ใช้พอกบริเวณตาที่บวม (ทั้งต้น)
*ใบใช้รักษาอาการเจ็บคอ คออักเสบ ด้วยการใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำ
ตาล ใช้เป็นยาอม (ใบ,ทั้งต้น)
ช่วยรักษาอาการอาเจียน (ทั้งต้น)
ใช้เป็นยารักษาโรคกระเพาะ (ทั้งต้น)
*เปลือกต้นใช้เป็นยารักษาอาการท้องเสียและโรคบิด (เปลือกต้น) ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าให้ใช้ใบเป็นยาแก้โรคบิด (ใบ)ใช้เป็นยาขับพยาธิ (ทั้งต้น)
ใช้ขับพยาธิในเด็ก (ใบ)
ช่วยรักษาโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ *รักษาทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ (ทั้งต้น)
ทั้งต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคหนองใน (ทั้งต้น) *ส่วนอีกข้อมูลระบุว่ารากมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคหนองใน (ราก)
*รากมีสรรพคุณทำให้แท้ง (ราก)
*ต้นสดใช้ตำพอกบริเวณที่เป็นแผลอักเสบ แผลเปื่อย ฝีและหนอง และพิษอักเสบปวดบวม (ทั้งต้น)
*ใบใช้เป็นยาทารักษาฝีหนอง (ใบ)
ตำรับยาแก้บวม ฟกช้ำ จะใช้พันงูเขียวทั้งต้น, โกฐดอกขาว และสือเชียนเถา อย่างละเท่า ๆ กัน นำมาตำผสมกับกับเหล้าเล็กน้อย ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็น
(ทั้งต้น)
*ใบใช้ตำพอกแก้เคล็ด (ใบ)
*ทั้งต้นใช้เป็นยารักษาโรคปวดข้อ (ทั้งต้น)
*ใบใช้เป็นยาทาถูนวดรักษาอาการปวดเมื่อย
(ใบ)รักษาอาการปวดเมื่อยตามข้อเนื่องจากลม
ชื้นคั่งค้างภายในร่างกาย (ทั้งต้น)
ขนาดและวิธีใช้ : การใช้ตาม  ยาแห้งให้ใช้ครั้งละ 15-35 กรัม ส่วนยาสดให้ใช้ครั้งละ 35-70 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน หรือใช้ร่วมกับตัวยาอื่น ๆ ในตำรับยา หากนำมาใช้ภายนอกให้นำมาตำพอก
บริเวณที่ต้องการ

ฟอสซิล "ไม้กลายเป็นหิน" ขนาดยักษ์ สูงราวตึก 12 ชั้น


ฟอสซิล "ไม้กลายเป็นหิน" ขนาดยักษ์ สูงราวตึก 12 ชั้น อายุ 800,000 ปี
อัศจรรย์! ไม้กลายเป็นหินอายุกว่า 800,000 ปี
ต้นไม้ที่เห็นอยู่นี้วัดขนาดความโตได้ 1.80 เมตร มีความยาวหรือความสูง 72.22 เมตร กลายสภาพเป็นหินอย่างน่าอัศจรรย์! ถูกฝังอยู่ใต้ดินนานกว่า 800,000 ปี ได้ทำการขุดเปิดหน้าดินเมื่อปีพ.ศ. 2546 เมื่อไม่กี่ปีนี้เองวนอุทยานแห่งชาติไม้กลายเป็นหินจังหวัดตาก คืออีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดตาก และยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของจังหวัด ตั้งอยู่ในเขตหมู่ที่ 7 ตำบลตากออก อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่สลิด-โป่งแดง บริเวณกิโลเมตรที่ 443 บนทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ซึ่งทางเข้าชมวนอุทยานไม้กลายเป็นหินจะตั้งอยู่ตรงกันข้ามโรงพยาบาลบ้านตาก ห่างจากถนนพหลโยธินประมาณ 2.5 กิโลเมตรเท่านั้น

การเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยว
จากถนนพหลโยธินตรงกิเมตรที่ 443 ตรงทางหลวงหมายเลข 1 เข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร คุณจะได้พบกับซากต้นไม้ดึกดำบรรพ์อายุกว่าแปดแสนปี ที่กลายเป็นแท่งหินขนาดยักษ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์! ด้วยความยาวของลำต้นกว่า 72.22 เมตร หรือสูงราวๆตึก 12 ชั้น ถูกฝังไว้ใต้พื้นดินนานกว่าแปดแสนปี ทั้งหมดนี้มีให้เยี่ยมชมได้ที่อุทยานไม้กลายเป็นหินจังหวัดตาก ซึ่งตั้งอยู่ที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 14 (ตาก) กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชจังหวัดตาก

สำหรับพื้นที่ ที่มีการสำรวจพบ Fossil ดึกดำบรรพ์ไม้กลายเป็นหินนี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่สลิดโป่งแดง ท้องที่หมู่ 7 ต.ตากออก อ.บ้านตาก จ.ตาก (ถนนพหลโยธิน ทางหลวงหมายเลข 1 กม.ที่ 443) จากข้อมูลของทางวนอุทยานได้ระบุเอาไว้ว่า ?ไม้กลายเป็นหิน? ต้นที่เห็นอยู่นี้ เป็น Fossil ดึกดำบรรพ์ที่จัดอยู่ในยุคควอเทอร์นารี (Quaternary Period ) ซึ่งเป็นช่วงเวลาทางธรณีวิทยาเมื่อประมาณ 1.6 ล้านปีที่ผ่านมา ซึ่งภายในอุทยานไม้กลายเป็นหินแห่งนี้ ได้มีการสำรวจพบไม้กลายเป็นหินทั้งหมดจำนวน 7 ต้น มีสภาพความสมบูรณ์ที่แตกต่างกันออกไป ซากดึกดำบรรพ์ไม้กลายเป็นหินที่เห็นอยู่ในภาพนี้ เป็นไม้กลายเป็นหินต้นที่ 1 มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดและโตที่สุดในบรรดาไม้กลายเป็นหินทั้งหมด (7ต้น) โดยวัดขนาดความโตได้ 1.8 เมตร ความยาวของลำต้น 72.22 เมตร หรือสูงราวๆตึก 12 ชั้น ขุดเปิดหน้าดินเมื่อปีพ.ศ. 2546 และที่ผมสงสัยก็คือต้นไม้ขนาดยักษ์นี้กลายเป็นหินได้อย่างไร? และก็ได้คำตอบจากทางวนอุทยานอีกเช่นเคย มีรายละเอียดดังนี้ครับ

ไม้กลายเป็นหินได้อย่างไร?
ไม้กลายเป็นหิน จัดว่าเป็น Fossil ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเกิดจากซากต้นไม้ ซึ่งถูกแทนที่ด้วยน้ำตาล ซึ่งมีสารละลายของซิลิก้า และเกิดจากการตกตะกอน กลายสภาพเป็นหินอย่างช้าๆ คือการแทนที่แบบโมเลกุล จนกระทั่งกลายเป็นหินในที่สุด โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและโครงสร้างอีกเลย ซึ่งโดยปกติแล้วซิลิก้าในเนื้อไม้จะมีอยู่ในรูปของโอปอล์และคาซิโดนี ทำให้มีสีสันที่หลากหลายสวยงาม ซึ่งลักษณะการเกิดของไม้กลายเป็นหินเช่นนี้จะทำให้สภาพรูปร่างและโครงสร้างดั้งเดิมของต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นวงปี เปลือก ราก กิ่ง และหน่อยังคงอยู่ในสภาพให้เห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน

ไม้กลายเป็นหิน มักฝังตัวอยู่ในชั้นกรวดคาดว่าจะเกิดสะสมตัวอยู่ในยุคของควอเทอร์นารีตอนต้น เป็นบริเวณรอยต่อระหว่างตะกอนพักระดับสูง และตะกอนพักระดับปานกลาง ล้อมรอบด้วยตะกอนพักระดับต่ำๆ อายุประมาณแปดแสนปี 
ทั้งหมดนี้มีให้คุณสัมผัสได้ ณ เมืองแห่งเกียรติภูมิสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดตาก
ยุคควอเทอร์นารี คืออะไร?

ยุคควอเทอร์นารี (Quaternary Period ) เป็นช่วงเวลาทางธรณีวิทยาเมื่อประมาณ 1.6 ล้านปีที่ผ่านมา เป็นยุคที่สองที่อยู่ในมหายุคซีโนโซอิก (Cenozoic Era) แบ่งออกได้เป็น 2 สมัย คือ สมัยไพลสโตซีน (Pleistocene Epoch) มีอายุประมาณตั้งแต่ 1.6 ล้านปีจนถึง 10,000 ปี และสมัยโฮโลซีน (Holocene Epoch) มีอายุประมาณตั้งแต่ 10,000 ปีจนถึงปัจจุบัน ยุคนี้ได้ประมวลเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาตลอดจนการสะสมของตะกอนดินทรายบนผิวโลก นับตั้งแต่สิ้นยุคเทอร์เชียรี (Tertiary Period ) เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หินที่เกิดในยุคนี้เรียกว่า หินยุคควอเทอร์นารี ครับผม

Redwood ต้นไม้ยักษ์


ชื่อพ้อง (ไวพจน์) - Wellingtonia gigantea Lindl
ชื่อสามัญ (ชื่อสามัญ) -
เรดวูดไฟลัม (Phylum) -
ยืนต้นชั้น (Class) -
พินอปอันดับ (สั่งซื้อ) -
พินาเลสวงศ์ (ครอบครัว) - Cupressaceae
วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1852 ขณะที่ Dowd เดินป่าล่าหมีที่ Calvares ๆ 90 เมตรจึงลืมล่าหมีไปสนิทฟัง Calvares คือถิ่นที่มีต้นไม้ยักษ์ "เรดวูด" ขึ้นมากมาย

แต่ Dowd เพราะในปี ค.ศ. 1833 โจเซฟ Reddeford Sequoia ในป่า Sierra Nevada Wellingtonia gigantea Lindl [ต่อมาคือ Sequoiadendron giganteum (Lindl.) เจ Buchholz] "Sequoia" เรดวูดและ Sequoia Cupressaceae Sequoia sempervirens ชนิด 2000 คือสูงถึง 116 7 เมตร 30 และยาวตั้งแต่ 15 -32 มิลลิเมตร
750 กิโลเมตรและกว้าง 8.75 กิโลเมตรโดยเฉพาะในที่สูงตั้งแต่ 30-750 มีใบที่อุดมด้วยสารประกอบสารแทนนิน


พบ ซากป่าดึกดำบรรพ์ที่จีน อายุเฉียด 300 ล้านปี

นักวิทยาศาสตร์พบซากป่าดึกดำบรรพ์จีนอายุเฉียด 300 ล้านปี
ภาพจำลองผืนป่ายุค 300 (ภาพเอเยนซี)
       เอเยนซี - เมื่อเกือบ 300 ล้านปีก่อนที่มองโกเลียในวันที่ 22 ก.พ. 20 1000 สหรัฐอเมริกา   
แผนที่แสดงสถานที่พบ
       ต้นไม้หลาย ๆ ทั้งที่เวลาผ่านล่วงมากว่า
298 ล้านปี
ทั้งนี้กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ซึ่งรวมถึง
นายเฮอร์มานน์เฟอร์ฟคอร์นจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย เฟอร์ฟคอร์นกล่าวว่าพื้นที่ป่าฟอสซิลนี้ 300 ล้านปีก่อนเป็นการเผยอดีตซึ่งเปิดโลกวัฒนธรรมโรมันโบราณ
      

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คุณประโยชน์ของน้ำมะพร้าวที่คุณคิดไม่ถึง

น้ำมะพร้าว
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หากเรากินน้ำมะพร้าวติดต่อกัน 7 วัน กับผลลัพธ์ที่ได้ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญ ก็ยังอธิบายไม่ได้
      
ปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์จากน้ำมะพร้าวอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก คุณสามารถหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไปและคุณจะทึ่งกับประโยชน์อันมหาศาลของผลไม้ประเภทนี้ แม้น้ำมะพร้าวจะมีรสชาติไม่อร่อยอย่างที่คิด แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะไม่ดื่มสุดยอดน้ำล้างพิษชนิดนี้แน่นอน
      
น้ำมะพร้าว มีสรรพคุณวิเศษตามที่หลายคนกล่าวอ้างจริงหรือไม่? คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับสารพัดประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว แต่คราวนี้คุณจะได้อ่านเกี่ยวกับข้อดีของน้ำมะพร้าวที่คุณอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน คุณอาจไม่รู้ว่าน้ำมะพร้าวมีโครงสร้างที่เข้ากันได้ดีกับพลาสม่าที่อยู่ในกระแสเลือดของมนุษย์เรา ยิ่งไปกว่านั้นน้ำมะพร้าวยังเคยถูกนำมาใช้ในยามสงครามเพื่อชดเชยเลือดที่สูญเสียไปและสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้อีกมากมาย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หากเรากินน้ำมะพร้าวติดต่อกัน 7 วัน กับผลลัพธ์ที่ได้ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญ ก็ยังอธิบายไม่ได้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หากเรากินน้ำมะพร้าวติดต่อกัน 7 วัน กับผลลัพธ์ที่ได้ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญ ก็ยังอธิบายไม่ได้วันที่ 12 พฤศจิกายน 2015เปิดอ่าน 0 views
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หากเรากินน้ำมะพร้าวติดต่อกัน 7 วัน กับผลลัพธ์ที่ได้ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญ ก็ยังอธิบายไม่ได้
     
ปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์จากน้ำมะพร้าวอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก คุณสามารถหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไปและคุณจะทึ่งกับประโยชน์อันมหาศาลของผลไม้ประเภทนี้ แม้น้ำมะพร้าวจะมีรสชาติไม่อร่อยอย่างที่คิด แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะไม่ดื่มสุดยอดน้ำล้างพิษชนิดนี้แน่นอน
      
น้ำมะพร้าว มีสรรพคุณวิเศษตามที่หลายคนกล่าวอ้างจริงหรือไม่? คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับสารพัดประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว แต่คราวนี้คุณจะได้อ่านเกี่ยวกับข้อดีของน้ำมะพร้าวที่คุณอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน คุณอาจไม่รู้ว่าน้ำมะพร้าวมีโครงสร้างที่เข้ากันได้ดีกับพลาสม่าที่อยู่ในกระแสเลือดของมนุษย์เรา ยิ่งไปกว่านั้นน้ำมะพร้าวยังเคยถูกนำมาใช้ในยามสงครามเพื่อชดเชยเลือดที่สูญเสียไปและสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้อีกมากมาย
ระบบภูมิคุ้มกันของเราก็จะแข็งแกร่งขึ้น
นอกจากนี้ น้ำมะพร้าวยังช่วยกำจัดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ โรคหนองใน โรคเหงือก และไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัด โรคติดเชื้อต่างๆ และโรคไข้รากสาดใหญ่ได้อีกด้วย

นอกจากจะเสริมสร้างพลังงานแล้วน้ำมะพร้าวยังช่วยเพิ่มการผลิตฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ แถมยังดีต่อผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตเนื่องจากมันมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะโดยธรรมชาติ ทั้งทางเดินปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะจะได้รับการชำระล้างจากนั้นร่างกายจะขับสารพิษออกมา ที่น่าทึ่งคือมันสามารถสลายก้อนนิ่วได้ด้วย และเนื่องด้วยมีปริมาณเส้นใยอาหารสูงจึงดีต่อระบบย่อยอาหาร 

*หากคุณดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำมันจะไปกำจัดกรดในกระเพาะอาหาร ไม่ต้องห่วงเรื่องอ้วนด้วยเพราะน้ำมะพร้าวมีระดับไขมันที่ต่ำมากและช่วยลดความอยากอาหารของเรา
*หากคุณมีสิวและผิวแห้งหรือผิวมัน เพียงใช้ผ้าชุบน้ำมะพร้าวและทาลงไปบนผิวหนัง น้ำมะพร้าวจะชำระล้างสิ่งสกปรกและทำให้ผิวหนังสดชื่น ที่สำคัญมันจะช่วยเปิดรูขุมขน
*หากดื่มน้ำมะพร้าวผสมกับน้ำมันมะกอกก็สามารถฆ่าเชื้อโรคและกำจัดปรสิตในลำไส้ได้
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการดื่มน้ำมะพร้าวขณะตั้งครรภ์จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพได้หลายอย่าง
*หากดื่มวันละหนึ่งแก้วทุกเช้าจะช่วยรักษาระดับความสมดุลของอิเล็กโทรไลต์และไม่ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง
*หากคุณดื่มแอลกอฮอล์ในตอนกลางคืนพอเช้ามาคุณอาจรู้สึกปวดศีรษะ ดังนั้นถ้าต้องการกำจัดอาการปวดศีรษะหรืออาการเมาค้างและชดเชยของเหลวที่สูญเสียไปคุณสามารถทำได้ด้วยการดื่มน้ำมะพร้าว
ขณะเดียวกันถ้าคุณต้องการให้ผิวชุ่มชื่นและเปล่งปลั่งตลอดทั้งวัน การดื่มน้ำมะพร้าววันละแก้วก็เพียพอแล้ว

นอกจากนี้หลังจากที่ออกกำลังกายมาอย่างเหน็ดเหนื่อยคุณสามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อให้ร่างกายของคุณกลับมามีพลังอีกครั้ง ทั้งช่วยเพิ่มพลังงาน เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันแบคทีเรียและอาการติดเชื้อต่างๆ ตามด้วยน้ำหนักลด

สุดยอด 25 ประโยชน์จากขนุน ที่คุณอาจยังไม่รู้

ขนุนเนื้อเหลืองหอมหวานกรอบ
ขนุน เป็นผลไม้รับประทานได้ทั้งผลดิบที่เอามาแกง และผลสุกที่ทานเนื้อ รวมถึงเม็ดขนุนก็นำมาต้มทานหรือเป็นวัตถุดิบในแกงต่าง ๆ ด้วย เนื้อขนุนเมื่อสุกจะมีกลิ่นหอม เนื้อหวานกรอบทานอร่อย เป็นผลไม้จากต่างประเทศที่ได้ฉายาว่าเจ้าแห่งผลไม้ที่อุดมไปด้วยมีวิตามิน แร่ธาตุ สารอาหาร คารโบไฮเดรต เส้นใย ไขมัน โปรตีน ไขมันอิ่มตัวแต่ไม่มีคอเลสเตอรอล
แล้วรู้หรือไม่….
นอกจากจะทานเพื่อความอร่อยแล้วขนุน
ยังมีประโยชน์ทั้งบำรุงร่างกายและป้องกัน
และลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย 
มาดูสุดยอดประโยชน์ของผลไม้อย่างขนุนกันเลย

1. ลดการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
สำหรับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้าลองนำเม็ดขนุนจุ่มนมเย็นและนำมาคลึงบน หน้าเบาๆ วิธีนี้จะช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าได้อย่างดี
(ลองทำต่อเนื่องอย่างน้อย 6 สัปดาห์)
2. ลดอาการท้องผูก
สรรพคุณของเม็ดขนุนใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยเส้นใยที่จะเข้าไปล้างพิษ
3. ช่วยให้ผิวเนียนใส
นำเม็ดแห้งของขนุนมาบดให้ละเอียดกับนมและน้ำผึ้ง ใช้มาร์กหน้าทิ้งไว้สักครู่แล้วล้างออก
4. โปรตีนสูง
เม็ดขนุนมีโปรตีนสูง สำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักลองเปลี่ยนจากกินถั่วมากินเม็ดขนุน (ต้ม) ก็ช่วยได้
5. ช่วยให้ผมสวยสุขภาพดี
ทานเม็ดขนุนสามารถช่วยในการไหลเวียนของเลือด เป็นผลดีกับผมช่วยให้เส้นผมยาวเร็วขึ้นอีกด้วย
6. มีวิตามินเอ
เม็ดขนุนเป็นแหล่งรวมวิตามินที่ดีสำหรับเส้นผม ป้องกันผมไม่ให้แห้งกร้านและเปราะบาง
7. สร้างภูมิคุ้มกัน
เป็นแหล่งวิตามินซีและมีสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถสร้างระบบคุ้มกันให้แข็งแรงปกป้องอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่น ไอ ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่
8. ให้พลังงาน
ขนุนอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต แคลอรี่รวมไปถึงน้ำตาลฟรุกโตส เป็นผลไม้ที่ไม่มีคอเรสเตอรอล กินได้ปลอดภัยสุขภาพดีชัวร์
9. ปกป้องการเกิดโรคมะเร็ง
ขนุนมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่สามารถป้องกันจากโรคมะเร็งได้ และป้องกันมะเร็งในช่องปาก
10. รักษาความดันโลหิต
ขนุนมีโพแทสเซียมที่ช่วยลดระดับความดันโลหิตสูงและบำรุงหัวใจ
11. ช่วยปรับการย่อยอาหารให้ดีขึ้น
ขนุนอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่เหมือนเป็นตัวช่วยหรือยาระบาย ช่วยย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องผูก
12. ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
ขนุนมี high in dietary fats จึงสามารถช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากสารพิษในลำใส่ใหญ่และป้องกันมะเร็งที่อาจะ เกิดขึ้นได้ นอกจากนั้นสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยป้องกันริ้วร้อยที่เกิดจากวัยและความ เสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อและอวัยวะของร่างกาย หรือที่เราเรียกว่า โรคเสื่อมนั่นเอง
13. บำรุงสายตา
เนื้อขนุนมีวิตามินและสารอาหารที่สำคัญต่อดวงตา และมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันต้อกระจกและประสาทตาเสื่อม
14. ดีต่อผิวลดริ้วรอย
ปัจจัยทั้งเรื่องอายุที่เพิ่มขึ้นและวัยหมดประจำเดือน รังสียูวี
หรือมลพิษต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายดูแก่ก่อนวัย ขนุนมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัยและลดริ้วรอย
15. โรคหอบหืด
บรรเทาอาการหอบของคนที่เป็นโรคหอบหืดได้ ปัจจุบันมีผู้เป็นโรคหอบหืดหรือโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจจำนวนไม่น้อย
16. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
ขนุนอุดมไปด้วยแมกนีเซียมสร้างเสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ขนุนมีโพแทสเซียมจะเข้าไปช่วยลดการสูญเสียแคลเซียมในไตและเพิ่มความหนาแน่น ของกระดูก
17. ห่างไกลโรคโลหิตจาง
ขนุนเต็มไปด้วยวิตามิน เอ ซี อี และเค มีไนอาซิน วิตามิน บี6 โฟเลต กรด pantothenic ทองแดงแมงกานีสและแมกนีเซียมที่จำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือด นอกจากสามารถดูดซึมธาตุเหล็กแล้วยังสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้ด้วย
18. บรรเทาอาการหวัด
เนื่องจากอุดมด้วยวิตามินซีจึงสามารถช่วยป้องกันอาการหวัดและการติดเชื้อได้ เพียงคุณรับประทานขนุน 5 – 6 ชิ้นคุณก็จะได้รับทั้งสารต้านอนุมูลอิสระและการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
19. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจเกิดจากการขาดแมงกานีส โดยในขนุนมีแมงกานีส (จากข้อ17) จึงช่วยลดหรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
20. ป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก
ขนุนอุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง พบว่าคนที่ได้รับแมกนีเซียมและโพแทสเซียม
จะมีมวลกระดูกสูงและกระดูกแข็งแรง ถ้าสงสัยว่ามวลกระดูกตรงนี้มีผลต่อร่างกายอย่างไร ลองนึกถึงคนที่มีมวลกระดูกน้อย ๆ พออายุมากขึ้นกระดูกสันหลังจะสึกกร่อนทีละนิด ทำให้หลังค่อมหรือดูตัวเตี้ยลงนั่นเอง ส่วนคนที่อายุยังน้อยเมื่อเกิดอุบัติเหตุอาจจะส่งผลให้กระดูกหักง่ายนั่นเอง
21. ช่วยให้ต่อมไทรอยด์มีสุขภาพดี
คอปเปอร์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับขบวนการเมตาบอลิซึมของต่อมไทรอยด์โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งสำหรับการดูดซึมและการผลิตฮอร์โมน ซึ่งขนุนก็เป็นตัวตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียว
เพราะเต็มไปด้วยแร่ธาตุที่มี ประสิทธิภาพต่อกระบวนการดังกล่าวและทำให้อัตราการเผาผลาญเป็นไปด้วยดีต่อ สุขภาพ
23. ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน
ขนุนเป็นประโยชน์ต่อดวงตาอย่างมากและอุดมไปด้วยวิตามินเอที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตาบอดกลางคืนได้
* อาการตาบอดกลางคืน คือ ผู้ที่มองเห็นภาพวัตถุในที่ที่่มีแสงสลัวในที่มึดไม่ชัดเจนในช่วงแรก ก่อนที่จะปรับตาเพื่อให้เห็นชัดจะช้ากว่าปกติหรือเรียกว่า Slow dark adaptation
24. ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
ผลขนุนยังมีวิตามิน บี6 ที่จะช่วยลดระดับโฮโมซิสเตอีนในเลือด ทำให้หัวใจแข็งแรง
25. ช่วยสมานแผน
ขนุนมีคุณสมบัติในการสมานแผลที่น่าทึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการผิดปกติอื่นๆในระบบทางเดินอาหารด้วย
เห็นแบบนี้แล้วคงต้องหาขนุนมาทานกันแล้วใช่ไหม
 ขนุน
เดี๋ยวนี้สะดวกสบายกว่าเมื่อก่อนมาก เนื่องจากพ่อค้าแม่ค้าใจดีแกะเนื้อขาย เราสามารถมองเห็นได้เลยว่าเนื้อหนาเนื้อบางสีอ่อนแก่เลือกได้ตามชอบ คุณค่าทางอาหารราคาไม่แพงแบบนี้ห้ามพลาดนะ อีโมติคอน

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทะเลทรายสุดแปลกตาที่หลังฝนตกจะกลายเป็นทุ่งดอกไม้

Atacama เป็นทะเลทรายในประเทศชิลี
ทะเลทรายสุดแปลกตาที่หลังฝนตกจะกลายเป็น"ทุ่งดอกไม้"อันสวยงามและวิเศษที่สุดในโลก
Atacama เป็นทะเลทรายในประเทศชิลี
Atacama เป็นทะเลทรายในประเทศชิลีที่ทั้งแปลกและวิเศษที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้เพราะแม้ว่าจะเป็น"ทะเลทรายแต่กลับไม่มีทะเลทราย"

เลยนั่นเอง และแม้ว่าจะยังมีความแห้งแล้งตามแบบฉบับของทะเลทราย
แต่ในช่วงฤดูใบษขไม้ผลิ
เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน จะเป็นช่วงที่ฝนตกหนักมาก

ทุ่งดอกไม้กลางทะเลทราย
Atacama เป็นทะเลทรายในประเทศชิลี
ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์จนส่งผลให้บุปผาทะเลทรายขึ้น นั่นคือดอก hibernating ที่จะบานไปทั่วทั้งทะเลทราย จนเกิดเป็นภาพสวยงามขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ

Atacama เป็นทะเลทรายในประเทศชิลี

อบเชยจีน

อบเชยจีนสมุนไพรที่มีสารพัดประโยชน์
อบเชยจีน : ลดน้ำตาลในเลือด 
เปลือกไม้แห้งและป่นใช้เป็นเครื่องเทศ น้ำมันเปลือกต้นอบเชยใช้แต่งกลิ่นอาหารและเครื่องดื่ม น้ำมันใบอบเชยใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง และเป็นสารตั้งต้นในการผลิตน้ำหอม สรรพคุณทางยาสมุนไพร เป็นยาขับลม บำรุงธาตุ แก้ท้องเสีย แก้คลื่นไส้อาเจียน 
โดยเฉพาะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด 

ซึ่งทางการแพทย์พบว่ามีสารที่ทำให้เซลล์ไขมันตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้มากขึ้น ทำให้อินซูลินทำงานได้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังมีฤทธิ์เหมือนอินซูลิน คือ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ อบเชยจีนยังช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ ลดไขมันตัวร้าย และลดคลอเลสเตอรอลได้อีกด้วย
วิธีใช้ กินผงอบเชยจีนประมาณ 1 ช้อนชาต่อวัน แบ่งเป็นเช้าครึ่งช้อนชา เย็นครึ่งช้อนชา กินกับเครื่องดื่ม
(เครดิตภาพ : Sheldon Navie)
** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน **

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

คามู คามู … สุดยอดแห่งวิตามินซี

คามู คามู … สุดยอดแห่งวิตามินซี
หากเอ่ยถึงผลไม้ชื่อแปลก ฟังไม่คุ้นหู ก็ต้องนึกถึง คามู คามู กันอย่างแน่นอน หลายคนคงสงสัยว่า คามู คามู นี้คืออะไร? รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร? ใช่ผลไม้หรือ? และคำถามต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งด้วยชื่อที่ฟังดูแปลกนี้เอง รู้หรือมั้ยว่า…คามู คามู เป็นสุดยอดในบรรดาผลไม้ทุกชนิดที่มีวิตามินซีสูงที่สุดเลยทีเดียว กำลังเริ่มได้รับความนิยมและพูดถึงกันมาก ทำให้ขณะนี้นักวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทั่วโลกให้ความสนใจกับคามู คามู นี้กันเป็นอย่างมากadvertisements


ลักษณะทั่วไปของคามู คามู
คามู คามู (Camu-camu) นั้นเป็นพืชในวงศ์ Myrtaceae มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Myrciaria dubia ในบริเวณน้ำท่วมถึงของประเทศบราซิลไปจนถึงเปรู มีชื่อภาษาถิ่นว่า Camocamo และ Cacari เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 2 – 3 เมตร มีดอกเล็กๆ สีขาว ส่วนผลจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว หรือประมาณผลมะนาวลูกใหญ่ มีสีแดงอมม่วงคล้ายผลเชอร์รี รสเปรี้ยว นิยมนำมาคั้นเป็นน้ำผลไม้ดื่ม หรือผสมในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และทำเป็นไอศกรีมคามู คามู สุดยอดผลไม้แห่งวิตามินซี
กิ่งและผลคามู คามู
คามู คามู นิยมปลูกในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งรวมของวิตามินและเกลือแร่ตลอดจนเส้นใยอาหารมากมายแล้ว ยังมีสารที่ช่วยชะลอความเสื่อมแถมยังป้องกันโรคที่เป็นเรื้อรังได้หลายชนิด เพราะมีสารพฤกษเคมีหรือไฟโตเคมิคอลส์อยู่ในผลคามู คามู ซึ่งนอกจากสามารถเทียบชั้นได้กับบรรดาผลไม้ตระกูลเบอร์รีทั้งหลายที่เป็นผลไม้ต้านอนุมูลอิสระสูงในอันดับต้นๆ ในผลคามู คามู นั้นยังได้ชื่อว่าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดของผลไม้ทุกชนิดอีกด้วย (วิตามินซีประมาณ 2,400 – 3,000 มิลลิกรัม/ผลสด 100 กรัม) มากกว่าในส้มประมาณ 60 เท่า
ต้นคามู คามู
ประโยชน์และสรรพคุณของคามู คามู
คามู คามู นั้นมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยในใบและผลสามารถนำไปทำเป็นยาสมุนไพรที่ช่วยแก้โรคต่างๆ ได้มากมายเลยทีเดียว อาทิ ช่วยต้านเชื้อไวรัสต่างๆ รักษารอยแผล หรืองูสวัด แก้อาการไข้ ปวดศีรษะ แก้ภาวะซึมเศร้า โรคหอบหืด รักษาต้อที่ดวงตาและแก้วตา สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ แก้อาการข้อเข่าเสื่อม เบาหวาน และช่วยรักษาสมดุลของภาวะทางอารมณ์ ซึ่งปัจจุบันนิยมนำผลคามู คามู มาสกัดเป็นเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณ หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ตลอดจนผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือใช้ในการแต่งกลิ่นเพิ่มรสชาติในผลิตภัณฑ์ เป็นการรักษาสุขภาพโดยวิธีธรรมชาติบำบัด
คลิปประกอบบทความ
คามู คามูข้อควรระวังในการรับประทานคามู คามู
ถึงแม้ว่าคามู คามู นั้นจะมีประโยชน์มากมายก็จริง แต่ก็มีข้อเสียที่ผู้รับประทานต้องระมัดระวังคือ

- ในผลคามู คามู มีวิตามินซีสูงนี่เองทำให้ปริมาณกรดในธรรมชาติสูงตามไปด้วย อาจส่งผลถึงการดูดซึม ทำให้มีปัญหาต่อระบบย่อยในกระเพาะได้

- อาจทำให้เกิดภาวะท้องร่วงรุนแรงได้ หากได้รับวิตามินซีในปริมาณมากเกินทำให้ร่างกายต้องขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระถี่เกินไป

- คามู คามู ทำให้เซโรโทนินซึ่งเป็นสารสื่อประสาทควบคุมอารมณ์และความหิวในร่างกายเราเพิ่มขึ้น อาจทำให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้นและนอนไม่หลับ

-การรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กมากกว่าที่ร่างกายเราต้องการอาจทำให้อยู่ในภาวะเหล็กเกิน ส่งผลให้ไตและตับเป็นพิษ หรืออาเจียนอ้วกแตกอ้วกแตนรุนแรงได้

- ผู้ที่มีอาการซึมเศร้าหรือเครียดอาจทำให้ความ
ดันโลหิตสูงได้โดยปกตินั้นร่างกายเราจะสามารถขจัดอนุมูลอิสระออกจากร่างกายได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นฉะนั้นเราต้องอาศัยตัวช่วยจากการรับประทานเสริมเข้าไป แต่ทั้งนี้ก็ต้องเลือกรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะแก่ร่างกายเราและหมั่นออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยครับไม่ใช่กินแต่ คามู คามู อย่างเดียว…

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วิธีปลูกกล้วยแบบกลับหัวปลูก

ได้วิชาแปลกใหม่มาอีกวิชาคือการปลูกพืชตีกลับ (อันที่จริงเห็นทำแต่กล้วยอย่างเดียวนะ ^^") พอกลับมาก็ร้อนวิชา ของอย่างนี้มันต้องลอง ออกไปซื้อหน่อกล้วย (หรือก็คือต้นกล้วยที่เค้าเฉาะแบ่งออกมาจากกอหนะแหละ) ได้มาทุกอย่างเลย กล้วยหอม 1, กล้วยน้ำว้า 1, กล้วยเล็บมือนาง 1 และกล้วยไข่ 2 ก็ปลูกแบบธรรมดาไปอย่างละ 1 เหลือกล้วยไข่ 1 เอามันมากลับหัวซะ ดูสิจะเจ๋งอย่างเค้าว่าหรือเปล่า

ถ้าปลูกปกติธรรมดาก็ไม่มีใครสนใจสิครับจริงๆแล้วก็มิได้ผิดปกติอะไรเลยครับ ไม่ว่าจะกลับหัวหรือไม่กลับหัว ส่วนของต้นที่แท้จริงทันก็ลงไปอยู่ในดินนั่นแหละต้นกล้วยจะเป็นพืชที่มีลำต้นใต้ดินครับ ส่วนที่โผล่ที่เราๆเห็นว่าเป็นต้นขี้นมานั้น เป็นกาบใบครับ ลองนึกภาพว่าโคนต้นกล้วยเป็นหัวมันฝรั่งไม่ว่าจะหมุนไปข้างไหนมันก็งอกได้อยู่ดีครับ
ตัดโดยวัดจากเหง้าให้ยาวขึ้นไปประมาณ 20 ซม. 
กล้วยกลับหัวปลูกหน่อที่นำมาปลูกต้องขุดมาทั้งรากและเหง้า ขุดดีๆ ระวังอย่าให้เป็นแผล
(อันนี้ก็ไม่รู้ของเราสมบูรณ์มั้ยเพราะขอซื้อเค้ามา คนขายเค้าก็ขุดมาให้)
* ถ้าเราปลูกแบบปกติ กล้วยมันก็จะแทงยอดขึ้นมาจากตรงกลางตามหน่อเดิมก็เลยได้แค่ยอดเดียวหน่อเดียว แต่ถ้าเรากลับหัวกล้วยมันไม่สามารถแทงยอดออกมาตามหน่อเดิมได้ จึงต้องสร้างหน่อใหม่โดยแตกออกมาจากรอบๆ เหง้า มันจึงสามารถแตกได้หลายหน่อ ทั้งนี้ต้องขึ้นกับขนาดของเหง้าที่ขุดมาเป็นสำคัญ ถ้าเหง้ามีขนาดใหญ่กล้วยก็จะแตกได้หลายหน่อยิ่งขึ้นครับ
- ส่วนที่ว่าต้นเตี้ยกว่าปกติ ให้ผลผลิตเร็วและมากกว่าปกตินั้น ยังต้องรอการพิสูจน์แต่คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของอุปปาทานมากกว่า
กลับหัวเอาปลายทิ่มลงหลุมรากชี้ฟ้าไปเลย โดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยรองก้นหลุมเพราะเค้าว่ามันจะกินอาหารจากต้นเดิมก่อน โอววว...แทะตัวเองได้ด้วย
รอดูผลก่อนว่าสำเร็จมั้ย ถ้าลงก่อนแล้วเกิดมันไม่ผุดขึ้นมาล่ะเสียชื่อเลยนะ
และแล้ววันที่กลับจากไปเที่ยวสมุยก็ได้เห็น หน่อน้อยๆ 2 หน่อยเลยยย ชักรูปนี้มาเมื่อวันที่ 4 ส.ค. ถึงตอนนี้
หน่อใหญ่(กว่า)ใบก็ผลิออกมาเต็มใบเล็กๆ แล้ว ส่วนหน่อเล็กก็โตขึ้น โตวันโตคืนดีมาก ^^
สรุปก็เดือนนิดๆ งอกมาละ (อาจเร็วหรือช้ากว่านี้ แล้วแต่สภาพแวดล้อม ความชื้น)
แล้วทำไมต้องไปทำพิศดารกลับหัวกลับหางมันอย่างนี้ ก็เพราะ(เขาบอก)ว่า
  1. หน่อแตกออกมาไล่เลี่ยกันถึง 3-4 ต้น (แต่เพิ่งได้ 2 หน่อ เอง)
  2. ไม่ต้องใส่ปุ๋ยในตอนแรกเพราะมันกินตัวเองได้
  3. ต้นจะเตี้ยกว่าปกติ แต่ให้ผลผลิตเร็วและมากกว่าเดิม (ซึ่งอันนี้ต้องรอดูต่อไป)
เอาเป็นว่าแค่งอกรอดตายมาได้ก็โอเคแล้ว เรื่องผลผลิตไว้ได้เห็นเป็นผลเป็นพวงแล้วค่อยมาอวดอีกที
คลิปประกอบบทความ

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แปลกลึกลับ! ชาวบ้านอุตรดิตถ์พบน้ำผึ้งสีแดงคล้ายสีเลือด


ตะลึง! ชาวบ้านอุตรดิตถ์พบน้ำผึ้งสีแดงคล้ายสีเลือด เชื่อให้สรรพคุณทางยาสูง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสังเวียน อินเปีย ซึ่งทำอาชีพตีผึ้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ขับไล่ผึ้งออกจากรังซึ่งตั้งบนต้นมะขามใน ต.ป่าเซ่า อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ก่อนที่จะเก็บรังผึ้งไว้ในที่ปลอดภัย แต่แล้วเมื่อตัดรังผึ้งและบีบให้น้ำผึ้งไหลออกมา ปรากฎว่าน้ำผึ้งที่ไหลจากรังผึ้งเป็นสีแดง 
สร้างความประหลาดใจให้กับผู้พบเห็น
น้ำผึ้งประหลาดสีแดงสดเหมือนเลือด
ดูกันชัดๆน้ำผึ้งสีเลือด

การค้นพบน้ำผึ้งสีแดงนี้ สืบเนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่ พบผึ้งหลวงมาทำรังอยู่บนต้นมะขามที่สูงกว่า 40 เมตร โดยรังผึ้งมีขนาดความกว้างประมาณ 100 เซนติเมตร ยาวประมาณ 200 เซนติเมตร ชาวบ้านหวั่นเกรงผึ้งจะบินออกมาทำร้ายนักเรียนและชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง จึงได้เรียกนายสังเวียนซึ่งชำนาญการตีผึ้งมายกรังออกไป ซึ่งนายสังเวียนได้ทำพิธีเคารพสักการะต้นมะขาม จากนั้น ได้สวมชุดป้องกันใบหน้า เดินเข้าไปรมควันรังผึ้งด้วยควันจากกาบมะพร้าวที่เผาไหม้ ทำให้ผึ้งบินหนีแตกกระจายออกจากรัง
เมื่อผึ้งหนีออกไปแล้ว นายสังเวียนได้เก็บรังผึ้งใส่ถุงลงจากต้นมะขาม แต่เมื่อเปิดถุงกลับพบว่าน้ำผึ้งที่ไหลออกมาเป็นสีแดง นายสังเวียนจึงใช้มีดตัดรังบางส่วนและบีบน้ำผึ้งออกมา ปรากฎว่าหยดเป็นสีแดงฉานคล้ายเลือด สร้างความตกตะลึงอย่างมาก จากนั้นนายสังเวียนได้ตัดรังผึ้งชิ้นเล็กใส่ใบตองและจุดธูปสักการะเทพารักษ์ พระภูมิเจ้าที่เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
นายสังเวียนกล่าวว่า ตนยึดอาชีพนี้มาเกือบ 20 ปี ไม่เคยพบเห็นน้ำผึ้งแบบนี้มาก่อน ถือว่าเป็นน้ำผึ้งที่หายากมาก และราคาน้ำผึ้งสีแดงสูงกว่าน้ำผึ้งทั่วไป ชาวบ้านเชื่อว่าหากได้ดื่มน้ำผึ้งสีแดง จะช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้กับร่างกายมากขึ้น ร่างกายกระชุ่มกระชวย ที่สำคัญยังช่วยให้ผู้กินมีอายุยืน อย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถระบุได้ว่า สีแดงของน้ำผึ้งนี้มาจากเกสรดอกไม้ชนิดใด เพราะหากเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลเข้ม จะมาจากดอกสาบเสือ ดอกลิ้นจี่ ดอกลำไย ดอกเงาะ หรือดอกทุเรียน
คลิปประกอบบทความ
นายสังเวียนยังกล่าวอีกว่า การตีผึ้งครั้งนี้เป็นวิธีธรรมชาติที่ไม่ไปทำร้ายตัวผึ้ง เป็นการใช้ควันไฟไล่ตัวผึ้งให้หลบหนีออกไปจากรัง สำหรับรังผึ้งที่ตีได้เมื่อนำลงมาแล้วเหลือเนื้อในกว้าง 80 เซนติเมตร ยาว 100 เซนติเมตร ประกอบด้วย ขี้ผึ้งส่วนที่สกัดจากสารดอกไม้ ส่วนที่สองวงในที่เป็นรังร้างของลูกน้อยที่โตเป็นตัวผึ้งเริ่มออกไปหาอาหารได้แล้ว และส่วนสุดท้ายรังผึ้งส่วนที่เก็บน้ำหวาน ซึ่งเหลือจากการเลี้ยงดูตัวอ่อน น้ำผึ้งแดงที่ได้มีปริมาณ 3,500 ซีซี เท่ากับขวดกลม จำนวน 4 ขวด ทั้งนี้ นายสังเวียนยังได้ตัดรังผึ้งส่วนหนึ่งแจกจ่ายให้กับเด็กนักเรียนไปรับประทานกันหลังทราบข่าว เมื่อทราบว่ารังผึ้งขนาดใหญ่ถูกตัดนำลงมาแล้ว ได้สร้างความดีใจให้กับเด็กนักเรียนเป็นอย่างมาก ที่ไม่ต้องหวาดกลัวผึ้งแตกรังบุกเข้าต่อยอีกต่อไป
ฟังเพลงย้อนอดีตกับ Men love

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กฤษณา (Kristsana)

กฤษณา (Kristsana)
Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte
วงศ์ : THYMELAEACEAE
ชื่อสามัญ Eagle wood
ชื่ออื่น : ไม้หอม (ภาคตะวันออก)
"...ใบพ้อพันห่อหุ้ม        กฤษณา
หอมระรวยรสพา         เพริศด้วย
คือคนเสพเสน่หา         นักปราชญ์
ความสุขซาบฤาม้วย         ดุจไม้กลิ่นหอมฯ..."

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์   
กฤษณาเป็นไม้ต้น สูง 18-30 ม. เปลือกต้นสีเทา แตกเป็นร่องยาวตื้น ๆ  ตามกิ่งอ่อนมีขนสีขาวปกคลุม     
*ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรูปรี กว้าง 3-5 ซม. ยาว 6-11 ซม. โคนใบมน ปลายใบเป็นติ่งแหลม แผ่นใบค่อนข้างหนา เรียบเกลี้ยง สีเขียว มีขนประปรายตามเส้นใบด้านล่าง ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 0.2-0.7 ซม.
*ดอก ออกเป้นช่อตามซอกใบ ดอกสีเขียวอมเหลือง กลีบเลี้ยงโคนติดกันเป็นหลอดสั้น ปลายแยกเป็น 5 แฉก ติดทน กลีบดอก 5 กลีบ เกสรเพศผู้มี 10 อัน
*ผล รูปกลมรีมีสันแคบตามยาวของผล ผิวขรุขระเป็นลายเส้นสีเขียว มีขนละเอียดสั้นคล้ายกำมะหยี่ พอแก่แตกอ้าออก เมล็ดกลมรี สีน้ำตาลเข้ม มี 1-2 เมล็ด
สรรพคุณ
*เนื้อไม้ ที่เป็นราดำ มีกลิ่นหอม คุมธาตุ เป็นยาบำรุงโลหิตและหัวใจ แก้ปวดข้อ แก้ตับปอดพิการ ใช้ผสมเป็นยาหอม
*ชันและน้ำมันหอมของกฤษณา เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ท้องร่วง โรคปวดบวมตามข้อ ผสมกับยาหอมต้มน้ำดื่มแก้กระหายน้ำ


รายการบล็อกของฉัน