ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

พญากาหลง


ไม้ต้นนี้ จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับต้น ชงโคดอกเหลือง หรือ โยทะกา และ เสี้ยวดอกเหลือง 

เพียงแต่ “พญากาหลง” จะมีความแตกต่างคือ เวลามีดอกครั้งแรกสีของดอกจะเป็นสีเหลืองเหมือนกัน จากนั้น 3-5 วัน สีเหลืองของดอกจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มมองเห็นชัดเจน ทำให้ “พญากาหลง” ต้นเดียวมีดอก 2 สี 
ดูสวยงามมาก 

ซึ่งต้น “พญากาหลง” นิยมปลูกในบริเวณบ้านร้านค้าทั่วไป เนื่องจากมีความเชื่อว่า ปลูก “พญากาหลง” แล้วจะช่วยให้อยู่ดีมีสุขและค้าขายคล่องขึ้น นั่นเป็นความเชื่อมาแต่โบราณ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่

พญากาหลง หรือ BAUHINIA TOMEN TOSA LINN. ชื่อสามัญ ST.THOMAS TREE, YELLOW ORCHID TREE อยู่ในวงศ์ LEQUMINOSAE เป็นไม้พุ่มสูง 1.5-3 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปค่อนข้างกลม ปลายเว้าลึกดูคล้ายใบชงโคหรือใบส้มเสี้ยว ด้านหลังมีขนเล็กน้อย ใบเมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว สีเขียวสด ใบดกน่าชมยิ่งนัก

ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย 2-3 ดอก ห้อยลง มีกลีบดอก 5 กลีบ เมื่อแรกมีดอกสีของดอกจะเป็นสีเหลือง จากนั้นสีของดอกจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มดูสวยงามตามที่กล่าวข้างต้น ดอกเมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-4.5 ซม. มีเกสรตัวผู้ 10 อัน 

เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะมีดอกเป็น 2 สี แปลกตาน่าชมยิ่งนัก “ผล” เป็นฝักแบน มีหลายเมล็ด ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และตอนกิ่ง

ต้น โยทะกา


โยทะกา : น้องเล็กของสามใบเถา สกุลใบแฝด
“แก้วกาหลงชงโค ยี่สุ่นยี่โถโยธกา” (ลิลิตเตลงพ่าย)
                                                                         
ข้อความที่ยกมาข้างบนนี้  คัดมาจากวรรณคดียุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์  เรื่องเตลงพ่าย  เป็นบทชมสวนไม้ดอก

ทุกคำที่ปรากฏล้วนเป็นชื่อต้นไม้ดอกที่นิยมปลูกกันในสมัยนั้นทั้งสิ้น รวม ๖ ชนิด ได้แก่ แก้ว กาหลง ชงโค ยี่สุ่น ยี่โถและโยธกา (หรือโยทะกา)
      
ต้นไม้ที่เอ่ยชื่อมานี้ถูกนำมาเขียนถึงในคอลัมน์ “ต้นไม้ใบหญ้า” แล้วโดยตรง ๔ ชนิด คือ แก้ว กาหลง ชงโค และยี่สุ่น
     
ยี่สุ่นถูกนำมาเขียนทางอ้อมอีก ๑ ชนิด เพราะยี่สุ่น หมายถึง ผกากรอง หรือกุหลาบที่มีดอกขนาดเล็ก
     
ดอกไม้อีกชนิดเดียวที่ยังไม่ได้เขียนถึง นั่นคือโยธกา หรือที่เขียนในปัจจุบันว่า โยทะกา นั่นเอง

น่าสังเกตว่าในต้นไม้ทั้ง ๖ ชนิดนี้ มีอยู่ ๓ ชนิดที่มีความใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง  ทั้งยังมีชื่อคล้องจองกันด้วย  หากเป็นลูกสาวก็ต้องเรียกว่าเป็น “สามใบเถา” หมายถึง พี่น้องผู้หญิง ๓ คนเรียงกัน คนไทยให้ความสนใจกับพี่น้องสามสาวที่เกิดมาเรียงต่อกันมากกว่าจำนวนอื่น เพราะไม่นิยมเรียกจำนวนอื่นๆ ว่าเป็นเถาอีก ไม่ว่าจะเป็น ๒ ๔ ๕ ๖ หรือ ๗ คน เหมือนลูกสาวท้าวสามล ในเรื่องสังข์ทอง ก็ไม่เรียกว่า “เจ็ดใบเถา” แต่อย่างใด
     
ต้นไม้ ๓ ชนิดที่ประกอบกันเป็น “สามใบเถา” ในที่นี้ก็คือ กาหลง ชงโค และโยทะกา

(โยธกา) คอลัมน์นี้นำเสนอเรื่องกาหลง (กันยายน ๒๕๔๗) และชงโค (ตุลาคม ๒๕๔๘) ไปแล้ว ฉบับนี้เสนอเรื่องของโยทะกา เพื่อให้ครบถ้วนตามจำนวน “สามใบเถา”
                                                                              
โยทะกา : น้องสุดท้องในสกุลใบแฝด
โยทะกา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bauhinia monandra kurz อยู่ในวงศ์ (AESALPINIACEAE และอยู่ในสกุล BAUHINIA เช่นเดียวกับกาหลงและชงโค) จึงมีลักษณะหลายอย่างคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะลักษณะใบ ซึ่งมีรูปร่างคล้ายรอยเท้าโคหรือใบแฝด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของต้นไม้สกุลนี้
     
โยทะกาเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใบรูปไข่ค่อนข้างกลม ปลายและโคนใบเว้าลึก มองเหมือนใบแฝดติดกัน เช่นเดียวกับใบกาหลงและใบชงโค
     
ดอกใหญ่ออกเป็นช่อ มีกลีบสีเหลือง เมื่อบานได้ ๒ วัน สีกลีบจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม  ทรงดอกเป็น ๕ กลีบ คล้ายดอกกล้วยไม้ เมื่อดอกร่วงหล่นจะติดฝักรูปร่างแบน ยาว ราว ๙-๑๕ เซนติเมตร เมื่อฝักแก่จัดจะแตกออกจากกัน
     
เปลือกของโยทะกาเป็นเส้นใย ใช้ทำเชือกปอได้
มีโยทะกาอีกชนิดหนึ่ง ชื่อ Bauhinia flanifera ride อยู่ในสกุลเดียวกัน เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง ซึ่งมีลักษณะอื่นๆ คล้ายคลึงกับโยทะกาชนิดแรก สันนิษฐานว่าคนไทยเรียกชื้อโยทะกาทั้ง ๒ ชนิดนี้รวมๆ กันมาตั้งแต่เดิม เพราะชื่อที่ใช้เรียกตามท้องถิ่นต่างๆ บ้างก็บ่งบอกว่าเป็นไม้เถา เช่น ชงโคย่าน (ตรัง) เถาไฟ (กรุงเทพฯ) เป็นต้น

โยทะกาเป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในประเทศไทย  เช่นเดียวกับกาหลงและชงโค  พบได้ในป่าธรรมชาติของทุกภาค  จึงปรากฏชื่ออยู่ในวรรณคดีไทย ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ดังเช่นในสักกบรรพคำฉันท์ ซึ่งแต่งในสมัยอยุธยา  ตอนหนึ่งบรรยายถึง” ปรูประประยงค์ ชงโคตะโกโยธกา”
     
คำว่า โยทะกา ในอดีตนิยมใช้เขียนว่า “โยธกา” มาจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์แล้วจึงเปลี่ยนเป็น “โยทะกา”
     
ในหนังสือ อักขราภิธานศรับ ของหมอบรัดเล พ.ศ. ๒๔๑๖ มีบรรยายว่า “โยทะกา เปนคำเรียกของสำหรับทอดสมอให้เรืออยู่ แต่มันมีสันถานเหมือนหนามต้นโยทะกา”

น่าสังเกตว่าโยทะกาใช้เรียกเครื่องมือที่ใช้ทอดสมอ รูปร่างคล้ายหนามต้นโยทะกา แสดงว่าต้นโยทะกาเป็นที่มาของชื่อนี้  แต่ต้นโยทะกาที่เรารู้จักในปัจจุบัน เป็นพืชไม่มีหนาม  ซึ่งอาจจะเป็นคนละต้นกับโยทะกาของอักขราภิธานศรับหรือต้นโยทะกา อาจมีมากกว่า ๒ ต้นก็ได้ (ในสมัยนั้น) 

ปัจจุบันยังมีโยทะกาสมัยใหม่อีกชนิดหนึ่ง เป็นต้นไม้ขนาดเล็ก สูง ๒-๕ เมตร ดอกสีเหลืองล้วนตั้งแต่เริ่มบานจนร่วงโรย ลักษณะดอกห่อไม่บานเต็มที่ ดอกออกจากยอดตลอดปี นิยมปลูกในสวนเป็นไม้ประดับ 
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Bauhinisa tomentora Linn
 
ชื่อที่เรียกในเมืองไทยคือ โยทะกา (ภาคกลาง) เถาไฟ (กรุงเทพฯ) ย่ายชิวโค (ตาก) ปอลิง (สุราษฎร์ธานี) ปอโคย่าน (ตรัง) เล็บควายใหญ่ (ยะลา-ปัตตานี) ภาษาอังกฤษเรียก Pink orchid Tree, One – Stemened Bauhinia, Jerusalim Date, Butterfly Flower

ประโยชน์ของโยทะกา
ไม่พบประโยชน์ด้านอื่นๆ ของโยทะกา นอกจากการใช้เป็นไม้ประดับ ซึ่งหากคนไทยรู้จักกาหลงและชงโคแล้วก็ควรจะนำมาปลูกร่วมกันให้ครบทั้ง “สามใบเถา” เพื่อให้พี่น้องได้อยู่ร่วมกัน ดังที่เคยเป็นมาในอดีตอันยาวนาน

ต้นครีบปลาวาฬ


ต้นครีบปลาวาฬ เป็นไม้ในกลุ่มเดียวกับพวก ลิ้นมังกร มีหลายสายพันธุ์ แตกต่างกันตั้งแต่รูปทรงใบและสีของใบ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับโชว์ความสวยงามอย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งครีบปลาวาฬ ที่เคยแนะนำในคอลัมน์ไปแล้วนั้น เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิม มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาใต้ 

มีลักษณะเด่นคือ เมื่อใบโตเต็มที่จะมีขนาดใหญ่และชูใบตั้งขึ้นดูคล้ายครีบปลาวาฬโผล่ขึ้นเหนือน้ำทะเลน่าชมมาก ที่สำคัญชาวเกาหลีเชื่อว่า ต้นครีบปลาวาฬ ทุกสายพันธุ์ หากปลูกประดับแล้ว จะเป็นไม้ช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ได้รวดเร็วกว่าปลูกไม้ชนิดใดๆ ในประเทศเกาหลีจึงนิยมปลูกต้นครีบปลาวาฬหลากหลายสายพันธุ์กันอย่างกว้างขวาง

ส่วน "ครีบปลาวาฬด่าง" เป็นไม้กลายพันธุ์ แบบถาวร เกิดในประเทศไทย มีต้นวางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ และกำลังเป็นที่นิยมของผู้ปลูกอยู่ในเวลานี้ เนื่องจาก "ครีบปลาวาฬด่าง" จะมีความแตกต่างจากครีบปลาวาฬพันธุ์ดั้งเดิมคือ ผิวใบจะมีรอยด่างเป็น สีขาว 2 เส้น แทงขึ้นจากโคนใบไป

จดปลายใบมองเห็นอย่างชัดเจน ทำให้เวลาใบโตเต็มที่และใบชูตั้งขึ้นดูสวยงามมาก แต่ราคาเท่าที่ทราบค่อนข้างสูงมากเช่นกัน เพราะเป็นไม้หายาก วางขายกันเป็นใบๆตามภาพที่เสนอประกอบคอลัมน์ ราคาเริ่มต้นที่ 3 พันบาทขึ้น "นายเกษตร" แนะนำให้เป็นความรู้ ส่วนใครจะมีกำลังซื้อหรือไม่ต้องพิจารณากันเอาเอง

ครีบปลาวาฬด่าง  หรือ  SANSEVIERIA MASONIANA VARIEGATED เป็นไม้พุ่ม สูง 6 นิ้วฟุต มีเหง้าและไหลใต้ดิน เป็นข้อปล้องสั้นๆ ใบออกเรียงสลับ รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนมน ก้านใบใหญ่และแข็ง โคนก้านใบเป็นกาบหุ้มลำต้น เมื่อใบเจริญเติบโตเต็มที่สามารถกว้างได้เกือบ 1 ฟุต ยาวได้เกือบ 1 เมตร เนื้อใบหนาและแข็ง ภายในมีน้ำไว้หล่อเลี้ยงตัวเอง ผิวใบเรียบเป็นมัน สีเขียวสด มีลายประสีขาวนวลตลอดทั้งใบ แต่ที่โดดเด่นได้แก่ รอยด่างสีขาวขนาดใหญ่แทงขึ้นจากโคนใบ 2 เส้น ตามความยาวของใบไปจดปลายใบมองเห็นชัดเจน 

จึงทำให้เวลาใบมีขนาดใหญ่ชูใบ ตั้งขึ้น สวยงามมาก ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำใบ หรือใบที่แตกขึ้นจากไหล ปลูกง่ายโตเร็ว

ปลูกได้ในดินทั่วไป เวลามีใบเยอะๆ ชูใบตั้งขึ้นจะงดงามคล้ายครีบปลาวาฬโผล่เหนือผิวน้ำทะเลน่าชม

รายการบล็อกของฉัน