ทุกคนคงจำเหตุการณ์เรือไททานิกล่มได้ดี แต่เชื่อหรือไม่ มีคำกล่าวยืนยันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นคือหนึ่งในอาถรรพ์ของเจ้าหญิงอาเมน-รา มีผู้เล่าว่ามัมมี่ของเจ้าหญิงถูกขนย้ายขึ้นเรืออย่างลับๆ และเก็บไว้ที่สะพานเรือ เพื่อส่งไปให้นักโบราณคดีที่สหรัฐ สุดท้ายเรือยักษ์ก็พบจุดจบ และไม่มีใครพบมัมมี่ของพระนางอีกเลย
ตามตำนานความหายนะของเรือไททานิค เป็นเรื่องของ มัมมี่โชคร้าย ที่ถูกลำเลียงโดยนำลงบนเรือลำที่ว่ากันว่าไม่มีทางที่จะล่มหรือจม ได้เลย แต่แล้ว กลับล่มลงจนก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่
เรื่องราวที่นำมาเล่า เป็นเรื่องของความโชคร้ายของผู้ที่ได้ครองมัมมี่ตัวนี้ ย้อนอดีตไปเมื่อหลายพันปีก่อนคริสตกาล หลังจาก "เจ้าหญิง อาเมน-รา" สิ้นพระชนม์ มีการบรรจุพระศพของพระองค์ในโลงศพไม้ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม และฝังในสุสาน Luxor
ในเวลาต่อมาราวๆปี พ.ศ.2433 ชายหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ได้เดินทางไปสำรวจที่ Luxor และได้รับการชักชวนให้ซื้อหีบมัมมี่หีบหนึ่ง ไม่ต้องบอก ทุกท่านก็คงจะเดาออกนะคะ ว่าเป็น หีบมัมมี่ของใคร หุหุ เมื่อทั้ง 4 เห็น แล้วก็เกิดความละโมบ อยากได้ จนต้องมีการจับฉลากกัน ชายคนที่จับฉลากชนะก็ได้ไปพร้อมกับจ่ายเงินไปนับพันๆปอนด์
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ก้มีคนเห็นชายคนนั้นแหละ เดินตรงไปยังทะเลทราย แล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย วันต่อมา ชาย 1 ใน 3 คนทีเหลือก็ถูกคนรับใช้ชาวอียิปตืยิงบาดเจ็บ
สาหัส ต้องตัดแขนทิ้ง ต่อมาชายคนที่ 3 ทราบข่าวร้ายระหว่างเดินทางกลับบ้านว่า
ธนาคารที่เค้าฝากเงินไว้เกิดล้มละลาย ในขณะที่ ชายคนที่4 คนสุดท้ายแล้ว ได้เกิดเจ็บป่วยเป้นโรคร้ายแรงจนตกงาน และกลายเป็นคนขายไม้ขีดไฟตามท้องถนน
สาหัส ต้องตัดแขนทิ้ง ต่อมาชายคนที่ 3 ทราบข่าวร้ายระหว่างเดินทางกลับบ้านว่า
ธนาคารที่เค้าฝากเงินไว้เกิดล้มละลาย ในขณะที่ ชายคนที่4 คนสุดท้ายแล้ว ได้เกิดเจ็บป่วยเป้นโรคร้ายแรงจนตกงาน และกลายเป็นคนขายไม้ขีดไฟตามท้องถนน
อย่างไรก้ตาม โลงศพก็ได้เดินทางมาถึงอังกฤษโดยนักธุรกิจ
ชาวลอนดอน แต่ก็ไม่พ้นเคราะห์ร้ายอยู่ดี เจอมาตลอดทาง
ชาวลอนดอน แต่ก็ไม่พ้นเคราะห์ร้ายอยู่ดี เจอมาตลอดทาง
แถมครอบครัวยังบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ทางถนน และไฟไหม้อีกด้วย เขาเลยบริจาค โลงมัมมี่ให้แก่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ ขณะลำเลียงโลงก้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก ((สงสารคนที่ไม่รู้นะ)) ก็รถบรรทุกที่บรรทุกมัมมี่สิ ดันถอยหลังไปทับคนงาน และคนที่เดินไปเดินมาแถวนั้น นอกจากนี้นะ คนงาน2คนที่ยกโลงขึ้นบันได ตกลงมาขาหักคนนึง อีกคน 2 วันต่อมาก็เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
ยังมีอีกนะ ไม่จบเพียงเท่านี้นะ ยังมีอีก คือมีผู้ชมคนหนึ่งลบหลู่เจ้าหญิงโดยการใช้ผ้า
ปัดฝุ่นใบหน้าบนโลงศพ ลูกของเขาก็ตายด้วยโรคหัดในไม่ช้าเลย พอเกิดเหตุการณ์ไม่ค่อยดี เยอะมาก เจ้าหน้าที่เลยย้ายลงมาที่ห้องใต้ดิน เผื่อจะได้ไม่มีใครเป็นอะไรอีก แต่พวกเค้ากลับคิดผิดน่ะสิคะ เพราะภายใน 1 อาทิตย์ต่อมา ผู้ช่วยคนหนึ่งก็บาดเจ็บสาหัส ผู้ควบคุมการเคลื่อนย้ายก้ตายอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา เมื่อหนังสือพิมพ์ทราบเรื่องช่างภาพคนหนึ่งได้ถ่ายรูปโลงศพ แต่พอล้างฟิล์มออกมากลับกลายเป้นใบหน้าที่
น่ากลัวน่าสยดสยอง ช่างภาพเลยกลับบ้าน ล็อคห้อง และยิงตัวตาย ว๊าย ต้องล่ะเหนื่อย
ปัดฝุ่นใบหน้าบนโลงศพ ลูกของเขาก็ตายด้วยโรคหัดในไม่ช้าเลย พอเกิดเหตุการณ์ไม่ค่อยดี เยอะมาก เจ้าหน้าที่เลยย้ายลงมาที่ห้องใต้ดิน เผื่อจะได้ไม่มีใครเป็นอะไรอีก แต่พวกเค้ากลับคิดผิดน่ะสิคะ เพราะภายใน 1 อาทิตย์ต่อมา ผู้ช่วยคนหนึ่งก็บาดเจ็บสาหัส ผู้ควบคุมการเคลื่อนย้ายก้ตายอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา เมื่อหนังสือพิมพ์ทราบเรื่องช่างภาพคนหนึ่งได้ถ่ายรูปโลงศพ แต่พอล้างฟิล์มออกมากลับกลายเป้นใบหน้าที่
น่ากลัวน่าสยดสยอง ช่างภาพเลยกลับบ้าน ล็อคห้อง และยิงตัวตาย ว๊าย ต้องล่ะเหนื่อย
เล่าถึงตรงนี้ สยองจัง เหอๆๆ มาๆๆเรามาเล่าต่อกันดีกว่า
ในที่สุด หลังจากนั้นไม่นาน พิพิธภัณฑ์ก็ได้ขายมัมมี่ให้นักสะสม ซึ่งเจ้าของก็ได้รับภัยพิบัติเช่นกัน เขาจึงเนรเทศไปอยู่บนห้องเพดาน แต่ในที่สุดก็มี นักโบราณคดีชาวอเมริกันก็ได้ตัดสินใจจ่ายเงินเพื่อซื้อมัมมี่และเตรียมขนย้ายไปนิวยอร์ค ในเดือนเมษายน พ.ศ.2454 ดดยได้ลำเลียงทรัพย์สมบัติขึ้นบนเรือสีขาวลำใหม่ ซึ่งเป็นสายการเดินเรือลำแรกที่เดินทางไปนิวยอร์ค นั่นก็คือ "เรือไททานิค" นั่นเอง และแล้ว "เจ้าหญิงอาเมน-รา" พร้อมด้วยผู้โดยสารนับพันๆคน ได้ดำดิ่งลงสู่ความตาย ณ.ทะเลแอตแลนติกนั่นเอง