ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

อาถรรพ์เจ้าหญิงอาเมน-รา



อาถรรพ์เจ้าหญิงอาเมน-รา แห่งอียิปต์
ทุกคนคงจำเหตุการณ์เรือไททานิกล่มได้ดี แต่เชื่อหรือไม่ มีคำกล่าวยืนยันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นคือหนึ่งในอาถรรพ์ของเจ้าหญิงอาเมน-รา มีผู้เล่าว่ามัมมี่ของเจ้าหญิงถูกขนย้ายขึ้นเรืออย่างลับๆ และเก็บไว้ที่สะพานเรือ เพื่อส่งไปให้นักโบราณคดีที่สหรัฐ สุดท้ายเรือยักษ์ก็พบจุดจบ และไม่มีใครพบมัมมี่ของพระนางอีกเลย
ตามตำนานความหายนะของเรือไททานิค เป็นเรื่องของ มัมมี่โชคร้าย ที่ถูกลำเลียงโดยนำลงบนเรือลำที่ว่ากันว่าไม่มีทางที่จะล่มหรือจม ได้เลย แต่แล้ว กลับล่มลงจนก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่

เรื่องราวที่นำมาเล่า เป็นเรื่องของความโชคร้ายของผู้ที่ได้ครองมัมมี่ตัวนี้ ย้อนอดีตไปเมื่อหลายพันปีก่อนคริสตกาล หลังจาก "เจ้าหญิง อาเมน-รา" สิ้นพระชนม์ มีการบรรจุพระศพของพระองค์ในโลงศพไม้ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม และฝังในสุสาน Luxor
ในเวลาต่อมาราวๆปี พ.ศ.2433 ชายหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ได้เดินทางไปสำรวจที่ Luxor และได้รับการชักชวนให้ซื้อหีบมัมมี่หีบหนึ่ง ไม่ต้องบอก ทุกท่านก็คงจะเดาออกนะคะ ว่าเป็น หีบมัมมี่ของใคร หุหุ เมื่อทั้ง 4 เห็น แล้วก็เกิดความละโมบ อยากได้ จนต้องมีการจับฉลากกัน ชายคนที่จับฉลากชนะก็ได้ไปพร้อมกับจ่ายเงินไปนับพันๆปอนด์

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ก้มีคนเห็นชายคนนั้นแหละ เดินตรงไปยังทะเลทราย แล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย วันต่อมา ชาย 1 ใน 3 คนทีเหลือก็ถูกคนรับใช้ชาวอียิปตืยิงบาดเจ็บ
สาหัส ต้องตัดแขนทิ้ง ต่อมาชายคนที่ 3 ทราบข่าวร้ายระหว่างเดินทางกลับบ้านว่า
ธนาคารที่เค้าฝากเงินไว้เกิดล้มละลาย ในขณะที่ ชายคนที่4 คนสุดท้ายแล้ว ได้เกิดเจ็บป่วยเป้นโรคร้ายแรงจนตกงาน และกลายเป็นคนขายไม้ขีดไฟตามท้องถนน
อย่างไรก้ตาม โลงศพก็ได้เดินทางมาถึงอังกฤษโดยนักธุรกิจ
ชาวลอนดอน แต่ก็ไม่พ้นเคราะห์ร้ายอยู่ดี เจอมาตลอดทาง 

แถมครอบครัวยังบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ทางถนน และไฟไหม้อีกด้วย เขาเลยบริจาค โลงมัมมี่ให้แก่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ ขณะลำเลียงโลงก้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก ((สงสารคนที่ไม่รู้นะ)) ก็รถบรรทุกที่บรรทุกมัมมี่สิ ดันถอยหลังไปทับคนงาน และคนที่เดินไปเดินมาแถวนั้น นอกจากนี้นะ คนงาน2คนที่ยกโลงขึ้นบันได ตกลงมาขาหักคนนึง อีกคน 2 วันต่อมาก็เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ

ทีนี้พอวางโลงมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-ราไว้ในห้องสไตล์อียิปต์แล้ว ก็มีปัญหาตามมาอีกเฮ้อออออ ก็จะอะไรซะอีกล่ะคะ ยามที่เฝ้าน่ะ จะได้ยินเสียง ทุบตีอย่างบ้าคลั่ง และเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจากโลงศพ แถมยังได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมออกมาจากห้องนั้น ยามคนหนึ่งก็ตายในหน้าที่อีก ทำให้ทุกๆคนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีกเลย

ยังมีอีกนะ ไม่จบเพียงเท่านี้นะ ยังมีอีก คือมีผู้ชมคนหนึ่งลบหลู่เจ้าหญิงโดยการใช้ผ้า
ปัดฝุ่นใบหน้าบนโลงศพ ลูกของเขาก็ตายด้วยโรคหัดในไม่ช้าเลย พอเกิดเหตุการณ์ไม่ค่อยดี เยอะมาก เจ้าหน้าที่เลยย้ายลงมาที่ห้องใต้ดิน เผื่อจะได้ไม่มีใครเป็นอะไรอีก แต่พวกเค้ากลับคิดผิดน่ะสิคะ เพราะภายใน 1 อาทิตย์ต่อมา ผู้ช่วยคนหนึ่งก็บาดเจ็บสาหัส ผู้ควบคุมการเคลื่อนย้ายก้ตายอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา เมื่อหนังสือพิมพ์ทราบเรื่องช่างภาพคนหนึ่งได้ถ่ายรูปโลงศพ แต่พอล้างฟิล์มออกมากลับกลายเป้นใบหน้าที่
น่ากลัวน่าสยดสยอง ช่างภาพเลยกลับบ้าน ล็อคห้อง และยิงตัวตาย ว๊าย ต้องล่ะเหนื่อย 

เล่าถึงตรงนี้ สยองจัง เหอๆๆ มาๆๆเรามาเล่าต่อกันดีกว่า
ในที่สุด หลังจากนั้นไม่นาน พิพิธภัณฑ์ก็ได้ขายมัมมี่ให้นักสะสม ซึ่งเจ้าของก็ได้รับภัยพิบัติเช่นกัน เขาจึงเนรเทศไปอยู่บนห้องเพดาน แต่ในที่สุดก็มี นักโบราณคดีชาวอเมริกันก็ได้ตัดสินใจจ่ายเงินเพื่อซื้อมัมมี่และเตรียมขนย้ายไปนิวยอร์ค ในเดือนเมษายน พ.ศ.2454 ดดยได้ลำเลียงทรัพย์สมบัติขึ้นบนเรือสีขาวลำใหม่ ซึ่งเป็นสายการเดินเรือลำแรกที่เดินทางไปนิวยอร์ค นั่นก็คือ "เรือไททานิค" นั่นเอง และแล้ว "เจ้าหญิงอาเมน-รา" พร้อมด้วยผู้โดยสารนับพันๆคน ได้ดำดิ่งลงสู่ความตาย ณ.ทะเลแอตแลนติกนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

ดาวอินคา พืชมหัศจรรย์


ดาวอินคา พืชมหัศจรรย์ สุดยอดโภชนาการ      
ปัจจุบันกระแสความนิยมเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร   ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่คุณค่าทางอาหารว่ามีองค์ประกอบของสารสำคัญทางโภชนาการ
อะไรบ้าง   ข่าวเกี่ยวกับพืชที่นำเข้ามาจาก
ต่างประเทศข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากป่าอเมซอน  โดยมีการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆชักชวนให้เกษตรกรปลูก    และมีการรับซื้อผลิตผลในราคาที่จูงใจ
ทำให้เป็นที่สนใจของเกษตรกรโดยทั่วไป พืชชนิดนี้คือ ดาวอินคา

        ดาวอินคา   เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้  บริเวณป่าอะเมซอน  แถบประเทศเปรู        มีการใช้ประโยชน์มาตั้งแต่สมัยอารยธรรม
ชาวอินคา หรือเมื่อกว่า 3000 ปีที่ผ่านมา โดยนำมาประกอบอาหาร เช่น เมล็ดสุกนำมาทำซอส น้ำมัน และเมล็ดคั่วเป็นส่วนผสมของอาหารพื้นเมือง
หรือทำเป็นครีมบำรุงผิว เป็นต้น     ดาวอินคา เป็นพืชที่ผลมีรูปร่างคล้ายดาว ภายในมีเมล็ดคล้ายถั่ว  เมื่อนำเข้ามาปลูกในประเทศไทย   จึงเรียกว่า
ดาวอินคา หรือ ถั่วดาวอินคา

         ดาวอินคา เป็นพืชวงศ์ Euphorbiaceae  เช่นเดียวกับ ยางพารา สบู่ดำ หรือมันสำปะหลัง  ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Plukenetia volubilis L. มีชื่อ
สามัญว่า sacha inchi, sacha peanut, mountain peanut, supua  หรือ Inca peanut  เป็นพืชอายุหลายปี       เป็นพืชเฉพาะถิ่นในป่าอะเมซอน
แถบประเทศเปรู พืชในสกุลนี้มีพบในประเทศไทยอยู่ 1 ชนิด คือ Plukenetia corniculata Sm. ส่วนชื่อไทยและการใช้ประโยชน์นั้นยังไม่มีข้อมูล
          
ดาวอินคา  เป็นไม้เลื้อยอายุหลายปี  มีอายุได้นาน 10 ถึง 50 ปี ลำต้นสูง 2 เมตร  กิ่งและยอดแผ่เลื้อยพันตามกิ่งไม้หรือโครงสร้างเลื้อย
พันอื่นๆ
         
ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปหัวใจ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบตรงถึงรูปหัวใจ ขอบใบจักฟันเลื่อย ใบยาว 10 – 12 ซม. กว้าง 8 – 10 ซม.
ก้านใบยาว 2 – 6 ซม.
         
ดอก เริ่มออกดอกเมื่ออายุ 5 เดือนหลังจากปลูก และติดเมล็ดเมื่ออายุ 8 เดือน ดอกช่อแบบช่อกระจะ (raceme)  ดอกแยกเพศอยู่บนต้น
เดียวกัน ดอกเพศผู้ขนาดเล็ก สีขาว เรียงเป็นกระจุกตลอดความยาวช่อ ดอกเพศเมีย 2 ดอก อยู่ที่โคนช่อดอก
ผลแบบแคปซูล เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 – 5 ซม.  มี 4 – 7 แฉก  ผลอ่อนสีเขียว  และสีจะเข้มขึ้นตามอายุ ผลแก่มีสีน้ำตาลดำ มีเนื้อนุ่มๆ สีดำ
หุ้มอยู่ซึ่งกินไม่ได้ โดยปรกติจะทิ้งให้แห้งคาต้นก่อนเก็บเกี่ยว เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วนำมาตากแดดอีก 1 วัน จึงนำผลผลิตไปจำหน่าย
          
เมล็ดรูปไข่ สีน้ำตาลดำ ขนาดกว้าง 1.7 – 1.8 ซม.  ยาว 2.0 – 2.2 ซม.  เมล็ดหนัก 1.3 - 1.7 กรัม   เมล็ดแห้งที่ยังดิบอยู่ใช้บริโภคไม่ได้
แต่ถ้านำไปคั่วให้สุกแล้วจะอร่อยมาก  ต้นดาวอินคาเจริญเติบโตได้ในที่อุณหภูมิ 10 – 36 องศาเซลเซียส    ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 100 – 2000 ม.
จากระดับน้ำทะเล สามารถปลูกได้ทุกภาคของประเทศไทย 
การปลูก
          
ขยายพันธุ์โดยเมล็ด  โดยการนำเมล็ดที่แก่แล้วมาเพาะในถุงดำ  เมื่อต้นสูงประมาณ 30 ซม.  จึงย้ายปลูก หรือหยอดเมล็ดในหลุมปลูกเลย
ก็ได้ ระยะปลูก 2 x 3 ถึง 2 x 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่  จะปลูกได้ 200 – 300 ต้น  เป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำขังแฉะ  ในพื้นที่ต่ำควรยกร่อง  ทำค้างสำหรับให้
ต้นเลื้อยพัน  โดยใช้วัสดุในพื้นที่        ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมักใช้ท่อพีวีซีเป็นเสาหลักแล้วใช้สายโทรศัพท์เก่าขึงระหว่างเสาเป็นค้างสำหรับให้ยอด
เลื้อยพัน โรคแมลงยังรบกวนน้อย   ปุ๋ยที่ใช้ควรเป็นปุ๋ยอินทรีย์   โดยทั่วไปดาวอินคาสามารถให้ผลผลิต 600 – 800 กิโลกรัมต่อไร่ และให้ผลผลิต
ยาวนาน 15 – 50 ปี

การใช้ประโยชน์      
ทุกส่วนของต้นดาวอินคาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ยอดและใบอ่อน สามารถนำไปประกอบอาหารได้ เช่น นำไปผัด
          
ใบของต้นดาวอินคา โดยเฉพาะใบที่ยังไม่แก่มากนำมาหั่นแล้วผึ่งแดด 1 – 2 แดด  นำไปต้มดื่มเป็นน้ำชา สามารถลดน้ำตาล และไขมันใน
เส้นเลือด หรือนำไปสกัดเป็นน้ำคลอโรฟิลล์
          
ผลอ่อน นำไปประกอบอาหาร เช่น ฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้วนำไปผัดกับยอดและใบเช่นเดียวกับผัดผักบุ้งไฟแดง หรือนำไปทำแกงเลียงก็ได้
          
น้ำมันดาวอินคา  เป็นน้ำมันที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง  และเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2007   น้ำมันดาวอินคาได้รับรางวัลเหรียญทอง
จาก the AVPA Specialty Foods Commodities ดาวอินคาได้ชื่อว่าเป็น super food เนื่องจากมีกรดไขมันที่จำเป็นในปริมาณสูง น้ำมันมีกลิ่นหอม
อ่อนๆ รสไม่ขม และเมล็ดดาวอินคาก็มีการทำเป็นขนมขบเคี้ยวเนื่องจากมีโอเมก้า 3     และโปรตีนสูง เมล็ดดาวอินคามีโปรตีนถึง 27% และน้ำมัน
สูงถึง 35 – 60% ในน้ำมันมีโอเมก้า 3 สูงถึง 45 – 63% โอเมก้า 6 สูง 34 – 39% และโอเมก้า 9 สูง 6 – 10% นอกจากนี้ยังประกอบด้วยไอโอดีน
วิตามินเอ และวิตามินอี

          น้ำมันดาวอินคามีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยลดคอเลสเตอรอล ป้องกันการแข็งตัวของเลือด ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคความดัน
โลหิตสูง ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์  ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ลดน้ำหนัก ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดอาการซึมเสร้า รักษาความแข็งแรงของ
เยื่อหุ้มเซลล์ ลดการอักเสบของหลอดเลือด โรคไขข้อ รักษาโรคผิวหนัง หอบหืด ไมเกรน ต้อหิน มีสารต้านอนุมูลอิสระ ควบคุมความดันลูกตาและ
เส้นเลือด รวมทั้งควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
          
น้ำมันจากเมล็ดดาวอินคา มีทั้งรูปแบบที่บรรจุแคปซูล และบรรจุขวด เป็นน้ำมันประกอบอาหาร ทำน้ำสลัด ทำผลิตภัณฑ์เสริมความงามและ
อาหารเสริมเช่น โฟมล้างหน้า สบู่ ครีมบำรุงผิว โลชั่น กากเมล็ดและเปลือก นำไปทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ หรือเชื้อเพลิงอัดแท่ง  

รายการบล็อกของฉัน