ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

jackal food พืชที่มีหน้าตาแปลกประหลาด..มองๆดูแล้วมันคล้ายกับอะไรบางอย่าง

jackal food พืชที่มีหน้าตาแปลกประหลาด..มองๆดูแล้วมันคล้ายกับอะไรบางอย่าง

มองดูๆแล้วมันเหมือนมาตรจากต่างดาวนอกโลก หรือเอเลี่ยน แต่ 99% ของคนที่ดูคลิปนี้อยู่คงไม่ได้คิดถึงเรื่องนอกโลกแน่นอนครับ

โดยพืชชนิดนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า jakkalskos or jackal food.สามารถพบได้ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกาเท่านั้น

ซึ่งเป็นพืชตระกูลกาฝากที่จะคอยกินน้ำเลี้ยงหรือสารอาหารจากต้นไม้ที่พวกมันเกาะ

แต่พืชชนิดนี้จะไม่เกาะตามลำต้นเหมือนต้นไม้กาฝากทั่วไปแต่จะเติบโตอยู่ใต้ดินและคอยดูดกินสารอาหารจากรากไม้เท่านั้น

ซึ่งในฤดูฝนหรือวันที่มีฝนตกพวกมันจะออกดอกขึ้นมาสู่พื้นดินหรือหน้าตาของดอกนั้นคล้ายกับเอเลี่ยน หรือ สิ่งที่พวกจิตใจสกปรกเค้าคิดจินตนาการกันไป

ดอกของมันหลังจากที่ขุดขึ้นมาจะส่งกลิ่นเน่าเหม็นอย่างกัยขี้หรือซากสัตว์เน่าๆ

ที่มนุษย์อย่างเราเราได้กลิ่นต้องเดินหนีแน่นอนเพราะกลิ่นมันเหม็นชวนอ้วกแตกอ้วกแตน แต่พวกแมลงของที่นั่นกลับชื่นชอบกลิ่นและพร้อมใจกันตอมดอกเพื่อกินน้ำหวานที่อยู่ด้านใน

โดยแลกกับการผสมเกสรให้ ก่อนที่จะออกผลซึ่งมีกลิ่นเหม็นไม่แพ้กัน ล่อให้แมลงหรือนกแถวนั้นมากินมัน และ ได้แพร่พันธุ์ต่อไปนั่นเองที่ฟังมาจนจบแล้วยังมีใครจิตใจสกปรกคิดเป็นอย่างอื่นนอกจากดอกไม้ไหมครับเนี่ย

ชมคลิปประกอบบทความ

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Qinngua Valley ป่าธรรมชาติเพียงแห่งเดียวใน Greenland (Greenland ดินแดนที่มีชื่อสีเขียว แต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสีขาว)

☑️Qinngua Valley  ป่าธรรมชาติเพียงแห่งเดียวใน Greenland
(Greenland ดินแดนที่มีชื่อสีเขียว แต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสีขาว)

กรีนแลนด์ (Greenland) ตั้งอยู่ในเขตมหาสมุทรอาร์กติก ถือเป็นดินแดนเหนือสุดของโลก และเป็นเกาะใหญ่ที่สุดในโลก โดยชาวไวกิ้งเข้ามาสร้างเมืองเป็นกลุ่มแรกๆ ทุกวันนี้ ที่นี่มีประชากรอยู่กันแบบหลวมๆ กว่า 5 หมื่นคนเท่านั้น  กรีนแลนด์นั้นไม่ใช่ประเทศแม้จะมีพื้นที่มาก แต่เป็นดินแดนปกครองตนเองของประเทศเดนมาร์ก มีอำนาจในการปกครองตนเอง มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล แต่ไม่มีอำนาจในด้านต่างประเทศและการทหารแต่อย่างใด

ทุกวันนี้พื้นที่กว่า 80% ของกรีนแลนด์ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งตลอดทั้งปี เพราะตั้งอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ ในช่วงฤดูร้อนเดือนมิถุนายน - สิงหาคม ก็ยังคงมี
น้ำแข็งหนาแน่นอยู่ และช่วงฤดูหนาวอาจติดลบมากกว่า 50 องศา ที่จริงพื้นที่ในกรีนแลนด์ค่อนข้างจะเป็นสีขาวและสีน้ำเงิน เนื่องจากมีธารน้ำแข็งที่ปกคลุมเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกเหมือน frosting ที่อยู่บนเค้ก แต่เกือบทางใต้สุดที่ซ่อนอยู่ภายในฟยอร์ดแคบๆ ยังเหลือพื้นที่สีเขียวอยู่บ้าง

พื้นที่นี้เรียกว่า Qinngua Valley หรือ Qinnquadalen, Kanginsap Qinngua และ Paradisdalen หุบเขานี้มีชื่อเสียงเพราะมีป่าธรรมชาติเพียงแห่งเดียวในกรีนแลนด์ ที่ทอดยาวไปทางเหนือจรดใต้ประมาณ 15 กม. สิ้นสุดที่ทะเลสาบ Tasersuag ซึ่งไหลลงสู่ Tasermiut Fjord ทางตะวันออกท่ามกลางภูเขาสูงตระหง่าน 1,500 ม. ทั้งสองข้างของหุบเขาเป็นภูเขาที่บางครั้งปกคลุมไปด้วยหิมะ สูง 1.6 กม. ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมที่นี่ทุกปี โดยกิจกรรมปีนเขา พายเรือคายัค และตั้งแคมป์

ภูเขาสูงทั้งสองด้านดังกล่าวให้การคุ้มครองหุบเขา Qinngua โดยกำบังลมหนาวที่พัดมาจากธารน้ำแข็งภายในของกรีนแลนด์ และทะเลที่อยู่ห่างออกไป 50 กม. สิ่งนี้สร้างสภาพอากาศที่อบอุ่นซึ่งเอื้ออำนวยต่อต้นไม้ เช่น Betula pubescens ต้นเบิร์ชที่มีขนนุ่มและ Salix glauca ต้นวิลโลว์สีเทา ลมที่ไม่แรงมากทำให้ต้นไม้ตั้งตรงอยู่ได้ ต้นไม้บางต้นที่นี่โตได้สูงถึง 20-25 ฟุต โดยเฉพาะไม้พุ่ม mountain ash (Sorbus groenlandica และ Alnus crispa) ต้นไม้สีเขียวชนิดหนึ่งที่ยังพบได้ที่นี่

จนกระทั่ง นักวิทยาศาสตร์ได้เจาะรูเข้าไปในธารน้ำแข็งหนาสองกิโลเมตรของกรีนแลนด์ และได้พบดีเอ็นเอของพืช รวมทั้งซากของแมงมุม แมลง และผีเสื้อใต้น้ำแข็ง ซึ่งบ่งชี้ว่าบางพื้นที่ทางตอนใต้ของเกาะกรีนแลนด์เป็นสวรรค์จริงเมื่อครึ่งล้านปีก่อน และกรีนแลนด์น่าจะมีสภาพอากาศที่อบอุ่นกว่ามาก ต้นไม้และพืชก็แพร่หลายมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ทั้งนี้ เป็นไปได้ว่าในสมัยก่อน ก่อนการมาของชาวนอร์สผู้ตั้งถิ่นฐานในยุคแรกๆ อาจมีป่าในที่อื่นๆ กำลังเติบโตอยู่ในกรีนแลนด์ แต่ถูกดัดแปลงเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ทำฟืน หรือวัสดุก่อสร้าง ทำให้สูญเสียป่าธรรมชาติไปทั้งหมด เหลือเพียงป่าใน Qinngua ที่ยังคงเป็นป่าที่แท้จริงเพียงแห่งเดียวในกรีนแลนด์ ต่อมาในปี 1930 หุบเขาได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่ธรรมชาติที่ได้รับการคุ้มครองในรายชื่อมรดกโลกของ UNESCO

Tasermiut Fjord
หนึ่งในสิบสิ่งมหัศจรรย์ของอาร์กติกโดย Lonely Planet เป็นที่ตั้งของ “big walls” ที่ดีที่สุดในโลกแห่งการปีนเขา
และการพายเรือคายัคในภูมิประเทศที่เข้มแข็งนี้ เพื่อชื่นชมยอดเขาสูง 2,000 เมตร และสำรวจหุบเขาที่สวยงาม

ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 10 ที่ชาวนอร์สเข้ามาตั้งรกราก เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย พื้นที่รอบๆ หุบเขาจึงเป็นพื้นที่แรกที่พวกเขาตั้งรกราก
โดยเฉพาะใกล้ปากลำธารในทะเลสาบ Tasersuaq พบซากฟาร์มนอร์สขนาดใหญ่ที่ถูกทิ้งร้าง นี่อาจเป็นฟาร์มนอร์สที่ใหญ่ที่สุดที่รู้จักกันดีในกรีนแลนด์ และเป็นไปได้ว่าที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Leiðar church ด้วย

ซากปรักหักพังของฟาร์มนอร์สขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่งซึ่งบางคนอ้างว่าเป็น " Brattahlíð " ซึ่งเป็นที่ดินของ Erik the Red ผู้ก่อตั้งนิคมชาวนอร์สแห่งแรก
ในกรีนแลนด์ และเป็นผู้ตั้งชื่อเกาะนี้ว่า “Greenland” โดยเชื่อว่าการเรียกดินแดนรกร้างที่เย็นยะเยือกนี้ว่า “green” จะส่งเสริมให้ผู้อื่นเข้ามา แบบเดียวกับคำว่า “Iceland” ที่ชาวนอร์สตั้งขึ้นเพื่อให้ฟังดูไม่ดีและทำให้ผู้ตั้งถิ่นฐานอื่น ๆ ไปมองหาที่ตั้งรกรากในดินแดนใหม่ โดยพวกเขาต้องการเก็บดินแดนนี้ทั้งหมดไว้สำหรับตัวเอง

การตั้งถิ่นฐานที่ Brattahlíð รอดมาได้ 500 ปี แต่ถูกทิ้งร้างในศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นไปได้มากที่สุดเนื่องจากการเย็นตัวลงของกรีนแลนด์ และผู้ตั้งถิ่นฐานชาวนอร์สเองที่มีส่วนทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ด้วยการทำลายป่าธรรมชาติให้ว่างเปล่าเพื่อสร้างบ้านเรือนและเรือ รวมทั้ง การกินหญ้ามากเกินไปของสัตว์ (Overgrazing) และการกำจัดสนามหญ้าสำหรับการก่อสร้าง ทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรวดเร็วของพื้นที่ที่เคยเป็นทุ่งหญ้าแห่งนี้

สถานที่ที่เชื่อกันว่าในปัจจุบันคือ Brattahlíð ซึ่งเป็นพื้นที่นิคมของ Eiríkur rauða และยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่านี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสมหรือไม่
แม้ว่าจะมีคำอธิบายโบราณของการตั้งถิ่นฐานของชาวนอร์ดิกในกรีนแลนด์กล่าวถึงชื่อสถานที่หลายแห่ง
และนักโบราณคดีมีความพยายามหลายครั้งในการค้นหา แต่ข้อมูลของพวกเขาสูญหายไป

วันนี้ กรีนแลนด์มีความหลากหลายทางชีวภาพต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีแมลงเพียง 700 สายพันธุ์เท่านั้นในกรีนแลนด์เมื่อเทียบกับหนึ่งล้านชนิดที่พบในส่วนที่เหลือของโลก แม้ว่าทะเลรอบๆ เกาะกรีนแลนด์จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ทะเล แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกของกรีนแลนด์ก็ถูกจำกัดให้อยู่ได้เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น เช่น หมีขั้วโลก กวางเรนเดียร์ จิ้งจอกอาร์กติก กระต่ายอาร์กติก หมาป่าอาร์ติค และวัวมัสค์ โดยไม่มีสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำบนเกาะ ความหลากหลายของพืชก็ยังคงน้อยลงเพียงประมาณ 500 ชนิด พืชประจำถิ่นชนิดเดียวที่เติบโตได้ดีบนเกาะคือไลเคน เชื้อรา มอส และสาหร่าย โดยแต่ละชนิดมีหลายร้อยสายพันธ์

สำหรับนักวิทยาศาสตร์หลายคน กรีนแลนด์เป็นศูนย์รวมของภาวะโลกร้อน ประมาณการชี้ให้เห็นว่าเมื่อแผ่นน้ำแข็งของเกาะละลายจนไม่มีน้ำแข็ง ทะเลจะสูงขึ้นถึง 24 ฟุต ท่วมท้นในมหานครนิวยอร์ก น่าแปลกที่การคาดการณ์บางอย่างเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกแสดงให้เห็นว่า ในไม่ช้าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างรุนแรงในไอซ์แลนด์ ในขณะที่กรีนแลนด์อาจประสบกับการเพิ่มขึ้นของเทอร์โมมิเตอร์ สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นในระยะเวลา 200 กว่าปี

อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นพร้อมกับภาวะโลกร้อนทั่วเกาะกรีนแลนด์ โดยในช่วงปี 2019 เพียงปีเดียว น้ำแข็ง 329 พันล้านตันละลาย ทำให้พื้นที่กินหญ้าสำหรับสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น และทางใต้เต็มไปด้วยพืชพรรณที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่สมัยไวกิ้งและ Erik the Red  ในขณะที่นักท่องเที่ยวก็มาถึงบ่อยขึ้นเช่นกัน (เพิ่มขึ้นจากประมาณ 4,000 ในปี 1993 เป็นประมาณ 100,000 ในปี 2018)



สวนป่าในสวนรุกขชาติกรีนแลนด์
รูปที่ 1 ไม้พุ่มประกอบด้วยวิลโลว์ใบสีเทา (Salix glauca) และวัชพืชไฟ (Chamaenerion latifolium) ในหุบเขา Qingua
Cr.ภาพถ่าย: “Jørgen Kjær Jensen, July 2006 ”
รูปที่ 2 เถ้าภูเขากรีนแลนด์ (Sorbus groenlandica) ในหุบเขา “Klosterdalen”, The Tasermiut fiord
Cr.ภาพ: Rasmus Christensen, กรกฎาคม 2007

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

สามัคคีคือพลัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในฟาร์มแห่งหนึ่งขณะที่ เหยี่ยวอยากกินไก่แต่เจอรุมสกัมโดยพวกในเล้า จนเหยี่ยวบินหนีกระเจิง

สามัคคีคือพลัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในฟาร์มแห่งหนึ่งขณะที่ เหยี่ยวอยากกินไก่แต่เจอรุมสกัมโดยพวกในเล้า จนเหยี่ยวบินหนีกระเจิง

🤓คลิปนี้แสดงให้เห็นว่า อยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยเหลือกันและรักสามัคคีกัน มันเป็นช่วงเวลาที่เหยี่ยวตัวหนึ่งบินโฉบลงมาเพื่อจับไก่ที่อยู่ในเล้าที่มีสัตว์อยู่หลายชนิด แต่ดูเหมือนงานนี้จะไม่ง่ายสำหรับเหยี่ยว เพราะสัตว์ที่อยู่ในเล่าค่อนข้างสามัคคีกันดีจริงๆ .. ในคลิปสัตว์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นแพะและอื่นๆวิ่งเข้ามารุมช่วยไก่ต่างก็ไล่เหยี่ยวกันพัลวัน ส่งเสียงไล่เหยี่ยวจนเหยี่ยวตัวร้ายตกใจหนีไป คลิปท้ายเรื่อง

😳เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้ได้ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อ Jaap Beets เกษตรกรใน Gelderland ได้ยินเสียงโกลาหลมาจากปศุสัตว์ของเขาที่อยู่ข้างนอก

😳ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นช่วงเวลาที่เหยี่ยวพุ่งชนไก่ ขนไก่ปลิวว่อนอยู่ในอากาศ จากนั้นก็มีไก่อีกตัววิ่งเข้าไปช่วยไก่ที่โดนเหยี่ยวโจมตี

มันเป็นช่วงเวลาที่ชุลมุน และไม่นานก็มีแพะเห็นการต่อสู้นี้ แพะตัวนี้ตัดสินใจช่วยเหลือไก่ทันที มันวิ่งเอาหัวไล่ชนเหยี่ยว จนในที่สุดเหยี่ยวก็ตัดใจจากเหยื่อของมัน และบินหนีไป

“ฉันภูมิใจมากที่ไก่กับแพะกระโดดเข้ามาปกป้องไก่อีกตัว

”Jaap Beets เกษตรกรวัย 59 ปี บอกกับนักข่าว “ฉันรู้สึกโล่งใจมากที่ไก่รอด” และจากการตรวจสอบ ไก่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

เหตุการณ์ในคลิปครั้งนี้สอนให้รู้ว่าสามัคคีคือพลัง รักใคร่กลมเกลียว จะไม่มีภัยอันตรายมาทำร้ายได้

การเลือกเก็บทุเรียนจากต้นสูงๆเป็นอาชีพที่เสี่ยงและต้องเป็นคนที่มีความชำนาญเลือกเก็บเกี่ยวเฉพาะผลทุเรียนแก่แล้วเท่านั้น

การเลือกเก็บทุเรียนจากต้นสูงๆเป็นอาชีพที่เสี่ยงและต้องเป็นคนที่มีความชำนาญเลือกเก็บเกี่ยวเฉพาะผลทุเรียนแก่แล้วเท่านั้น

โดยสังเกตจากลักษณะของผลและนับอายุลักษณะผลเมื่อทุเรียนแก่

สีเปลือกจะเปลี่ยนจากสีเขียวสดเป็นสีน้ำตาลหรือสีเขียวแกมเทา แต่ผลที่อยู่นอกทรงพุ่มที่โดนแสงแดดมากจะมีสีน้ำตาลมากกว่าผลที่อยู่ในทรงพุ่ม

ก้านผลสีเข้มขึ้นเป็นสีน้ำตาลคล้ำ สาก ตรงรอยต่อของระหว่างก้านผลตอนบนกับก้านผลตอนล่าง(ปลิง) จะบวมใหญ่ เห็นรอยต่อชัดเจน

ปลายหนามแห้ง มีสีน้ำตาล หนามกางออกร่องหนาค่อนข้างห่าง

สังเกตรอยแยกบนพูจะเห็นได้ชัดเจน ยกเว้นพันธุ์ก้านยาวจะเห็นไม่ชัด

ชิมปลิง ทุเรียนแก่จัด เมื่อตัดขั้วผลหรือปลิงออกจะพบน้ำใสๆ ไม่ข้นเหนียว เหมือนทุเรียนอ่อน ชิมดูจะมีรสหวาน

การเคาะเปลือกหรือกรีดหนาม ผลทุเรียนที่แก่จัดจะมีเสียงดังหลวมๆ


ทั้งนี้เมื่อผลทุเรียนในต้นเริ่มแก่สุกและร่วง ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าทุเรียนที่เหลือซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันเริ่มแก่สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว

การนับอายุ

การนับอายุทุเรียนนั้นจะนับจำนวนจากวันหลังจากดอกบานจนถึงวันที่ผลแก่ พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้ ซึ่งจะแตกต่างกันในแต่ละพันธุ์ คือ

พันธุ์กระดุม ใช้เวลา 90 ถึง100 วัน

พันธุ์ชะนี ใช้เวลา 110 ถึง120 วัน

พันธุ์ก้านยาว ใช้เวลา 120 ถึง 135 วัน

พันธุ์หมอนทอง ใช้เวลา 140 ถึง 150 วัน

การนับอายุนี้อาจจะคลาดเคลื่อนได้เล็กน้อย ขึ้นกับอุณหภูมิของอากาศ เช่น อากาศร้อนและแห้งแล้งทุเรียนจะแก่เร็วขึ้น หากมีฝนตกชุกและความชื้นสูงทุเรียนจะแก่ช้า ดังนั้นเพื่อสะดวกในการจดจำและไม่เกิดความผิดพลาดในการตัดทุเรียนอ่อน เกษตรกรควรจดบันทึกวันที่ดอกบาน และทำเครื่องหมายรุ่น ดังนี้

จดบันทึกวันที่ดอกทุเรียนบานของแต่ละพันธุ์ และแต่ละรุ่น

ทำเครื่องหมายรุ่นไว้ในขณะที่มีการโยงกิ่งด้วยเชือก และควรใช้สีที่แตกต่างกันในการโยงกิ่งแต่ละรุ่น ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการตัดทุเรียนที่แก่มีคุณภาพดี

วิธีการเก็บเกี่ยว

การตัดผลทุเรียน ควรตัดเหนือปลิงของก้านผลด้วยมีดคมและสะอาด และส่งผลทุเรียนลงมาจากต้นเพื่อให้คนที่รอรับอยู่ด้านล่างบริเวณโคนต้น ระวังอย่าให้ผลตกกระทบพื้น วิธีที่นิยมใช้ในการเก็บเกี่ยวคือการใช้เชือกโรยหรือใช้กระสอบป่านตระหวัดรับผล



ห้ามวางผลทุเรียนลงบนพื้นดินในสวนโดยตรง เพื่อเป็นการป้องกันเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผลเน่าติดไปกับผลทุเรียน และควรทำความสะอาด คัดคุณภาพ คัดขนาดก่อนจำหน่าย  

👉🏾ชมคลิปประกอบบทความข้างล่างนี้

Mistletoe พืช แปลกประหลาด กึ่งปรสิตที่มีวิวัฒนาการอย่างอิสระ

Mistletoe พืช แปลกประหลาด กึ่งปรสิตที่มีวิวัฒนาการอย่างอิสระ

ตาม " Language of flowers " mistletoe เป็นสัญลักษณ์ของการเอาชนะความยากลำบาก 

คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับ mistletoe ในรูปแบบของช่อดอกไม้เล็ก ๆ ที่มีผลเบอร์รี่สีขาวห้อยอยู่เหนือประตู มันไม่ใช่ไม้ยืนต้นหรือไม้พุ่ม ในความเป็นจริง
มันเป็นพืชกึ่งปรสิต หมายความว่ามันจะเกาะติดและรับอาหารจากกิ่งก้านของต้นไม้และพุ่มไม้นั้นๆ และสร้างอาหารสำหรับตัวเองหลังจากที่มันเริ่มโต โดยใบ เมล็ดจะกระจายไปในผลไม้ที่นกกิน

แต่ความแตกต่างที่น่าทึ่งอย่างแท้จริงคือความจริงที่ว่า มันได้บรรลุศักยภาพในการดัดแปลงทางชีวภาพไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง ในขณะที่ในประวัติศาสตร์ของวิวัฒนาการ ทั้งอาณาจักรพืช มีเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้เพียง 9 ครั้งและในสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ mistletoe หนึ่งในสมาชิกของครอบครัวปรสิตกลุ่มไม้ดอก Santalales สามารถผลิตน้ำตาลได้เองผ่านการสังเคราะห์ด้วยแสงและการผลิตเมล็ดพืชที่ไม่มีเปลือกหุ้มเมล็ด (testas) ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อกระหายน้ำและสารอาหารอื่น ๆ มันก็แค่ดื่มน้ำที่เจ้าบ้านจัดเตรียมไว้ให้

mistletoe มีเรื่องราวที่น่าสนใจเบื้องหลังชื่อของมัน เมื่อหลายร้อยปีก่อน มันถูกคิดว่าเกิดจากมูลนก หมายถึงสามารถเกิดขึ้นได้เองจากมูลเหล่านี้ จากที่พืชชนิดนี้เติบโตบนกิ่งไม้ที่มีมูลนกอยู่แล้ว จึงได้ชื่อว่า mistletoe แปลตามตัวอักษรคือ “มูลบนกิ่ง” แต่ในต้นกำเนิดจากชาวแซ็กซอน มันมาจากคำว่า mistl-tan หมายถึง "กิ่งที่แตกต่างกัน"

ในสมัยโบราณเชื่อกันว่า mistletoe เป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ที่มีมนต์ขลังและลึกลับที่สุดชนิดหนึ่ง วัฒนธรรมยุโรปหลายแห่งยกย่องคุณสมบัติในการรักษาโดยใช้เป็นยาโด๊ปและป้องกันพิษ และเป็นที่รู้กันว่าชาวกรีกใช้เป็นยารักษาทุกอย่างตั้งแต่ปวดประจำเดือนไปจนถึงความผิดปกติของม้าม แม้แต่นักธรรมชาติวิทยาชาวโรมัน Pliny the Elder ยังตั้งข้อสังเกตว่ามันน่าสามารถใช้เป็นยารักษาโรคลมบ้าหมู แผลพุพอง และยาพิษได้

mistletoe เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบบนิเวศน์ในพื้นที่ เนื่องจากมีสัตว์หลากหลายชนิดใช้เป็นอาหารและที่อยู่อาศัย เช่น ทำรัง

ในฤดูหนาว mistletoe จะเติบโตเป็นมวลสีเขียวที่มีรูปร่างกลมๆ บนกิ่งไม้ซึ่งพบเห็นได้ง่ายที่สุด เป็นไปได้ว่านกกินผลของมันและถ่ายออกมาขณะอยู่บนกิ่งไม้ เมล็ดจะเกาะติดกับเปลือกต้นไม้และงอกขึ้น ด้วยการสังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อให้พลังงานที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตในช่วงชีวิตนี้ ต้นกล้าจะลงรากชั่วคราวของพวกมันเข้าไปในเปลือกของต้นไม้ และเริ่มดูดสารอาหารและน้ำ โดยใช้โครงสร้างพิเศษที่เรียกว่า haustorium เมื่อติดอยู่กับโฮสต์อย่างสมบูรณ์แล้ว mistletoe จะมีชีวิตเหมือนพืชชนิดอื่นๆ ที่ออกดอก ติดผล และแผ่ขยายออกไปในวงกว้าง แม้ว่าจะถูกกำจัดออกไปจากต้นไม้ แต่โครงสร้างที่บุกรุกเหล่านี้สามารถอยู่ภายในต้นไม้ได้นานหลายปี

พืชที่เขียวชอุ่มนี้มีมากกว่า 1,300 สายพันธุ์ทั่วโลก ในสหรัฐฯ และแคนาดามีถึง 30 สายพันธุ์โดย 16 สายพันธุ์เป็น mistletoe แคระที่ไม่มีใบซึ่งส่วนใหญ่พบตามชายฝั่งตะวันตกในต้นไม้ตระกูลสนเท่านั้น สายพันธุ์เหล่านี้อยู่ในกลุ่มพืชที่แยกจากกัน หมายความว่าพืชมีทั้งตัวผู้หรือตัวเมีย โดยพืชเพศเมียจะมีผลเบอร์รี่สีขาว แต่ก็สามารถเป็นสีชมพูหรือสีแดงได้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์

ทั้งนี้ mistletoe มีความสำคัญทางนิเวศวิทยาเพราะเป็น keystone species (สายพันธุ์ที่มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และระบบนิเวศ) จากการศึกษาพบว่าป่าที่มี mistletoe ในปริมาณปานกลางนั้นมีความหลากหลายทางชีวภาพและมีสุขภาพดีกว่ามาก สำหรับนกบางชนิดผลเบอร์รี่ mistletoe เป็นแหล่งอาหารหลัก ในขณะที่อีกบางชนิดพืชคือรัง ทรงพุ่มของมันนอกจากจะให้เศษใบไม้ที่อุดมด้วยสารอาหาร ยังช่วยเพิ่มจำนวนแมงมุมและแมลงที่พบตามพื้นป่า สำหรับแหล่งอาหารรองของสัตว์กินแมลง เช่น นกนางแอ่น ตุ๊กแก และค้างคาว แม้พืชกาฝากเหล่านี้อาจใช้สารอาหารเพียงเล็กน้อยจากโฮสต์ แต่พวกมันทำให้ระบบนิเวศน์เติบโตอย่างมาก

ความแน่นอนเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ mistletoe นั้นมักพบในมูลนก จากการวิเคราะห์ DNA กลุ่มนักพฤกษศาสตร์ระดับนานาชาติ (Angiosperm Phylogeny Group) ได้กำหนดว่า mistletoe มีวิวัฒนาการอย่างอิสระเป็นห้าตระกูลที่แตกต่างกันของพืชกึ่งปรสิตซึ่งมีมากกว่า 900 สายพันธุ์
โดยการถ่ายของนก เมล็ดพืชจะถูกลำเลียงไปยังต้นไม้มากกว่า 200 สายพันธุ์ที่สามารถขยายพันธุ์ได้เองโดยทันที

การที่ Mistletoe ใช้ใบผลิตน้ำตาลโดยการสังเคราะห์ด้วยแสงแทนที่จะเป็นราก และมีโครงสร้างที่เจาะเนื้อเยื่อที่สำคัญของต้นไม้ที่เป็นโฮสต์เพื่อดูดสารอาหารและน้ำเพื่อให้เติบโตได้ เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงพยายามทำความเข้าใจกลยุทธ์การเอาชีวิตรอดแบบนี้ของพืชมาตั้งแต่ปี 2015 จนกระทั่ง

เมื่อปีที่แล้วมีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ฉบับใหม่ในวารสาร Current Biology ที่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ ได้ชี้ให้เห็นความกระจ่างเกี่ยวกับ Mistletoe พืชที่ที่นิยมใช้ประดับในเทศกาลคริสต์มาสนี้
การทำงานร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ที่ John Innes Centre เมือง Norwich สหราชอาณาจักรกับเพื่อนร่วมงานที่สถาบัน Max Planck Institute of Molecular Plant Physiology ประเทศเยอรมนี รู้สึกประหลาดใจที่พบว่า พืชกาฝากนี้มีวิวัฒนาการในลักษณะที่ทำให้สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยทีมงานค้นพบว่าชิ้นส่วนสำคัญที่จำเป็นสำหรับการหายใจแบบใช้ออกซิเจนในสัตว์และพืช คือเอ็นไซม์ที่เรียกว่า Complex I ใน mistletoe (Viscum album) ได้หายไป ในทางกลับกัน mistletoe ใช้เส้นทางของพลังงานทดแทนรวมถึง glycolysis สร้างพลังงานในส่วนต่างๆ ของเซลล์

Dr Andrew Maclean นักศึกษาระดับปริญญาเอกในห้องปฏิบัติการของ Dr. Janneke Balk ที่ John Innes Center และผู้เขียนนำการศึกษาอธิบายว่า
การค้นพบการเผาผลาญอาหารอันน่าทึ่งของ mistletoe เป็นหน้าต่างบานหนึ่งที่นำไปสู่วัฏจักรชีวิตของปรสิตที่มีรายละเอียดสูงในช่วงเวลาวิวัฒนาการ และขั้นตอนต่อไปสำหรับทีมคือการค้นหาว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นปรากฏการณ์เฉพาะของ mistletoe หรือใช้กับพืชกาฝากชนิดอื่นหรือไม่ เพื่อว่าวันหนึ่ง ความรู้เกี่ยวกับชีวเคมีและวงจรชีวิตของกาฝากอาจถูกนำไปใช้ในการปกป้องพืชผล

เมล็ดของ mistletoe บางชนิดสามารถยิงออกจากผลได้เหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ความเร็วสูงสุด 60 ไมล์ต่อชม. (100 กิโลเมตรต่อชม.)
จนถึงระยะ 50 ฟุต (15 เมตร) โดยสารเหนียวบนเมล็ดพืชช่วยให้พวกมันเกาะติดกับต้นไม้ใดๆ ที่มันไปลง จนกว่าพวกมันจะงอกและเริ่มเติบโต 

แม้ว่า Mistletoe เป็นพืชกาฝากที่มีผลเบอร์รี่พิษเมื่อกินเข้าไปในปริมาณมาก
แต่ในแง่พฤกษศาสตร์เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามันเป็นเหมือน "โรงงานบำบัด" สำหรับคุณสมบัติในการรักษา

เนื่องจาก Mistletoe เติบโตได้สูงขึ้นในทรงพุ่ม เมล็ดที่พบในผลเบอร์รี่จึงถูกปกคลุมด้วยวัสดุเหนียวที่เรียกว่า " viscin "
วัสดุนี้ไม่สามารถทำลายได้และยังเหนียวเหนอะอย่างไม่น่าเชื่อ แม้หลังจากผ่านทางเดินอาหารของนก
ทำให้เมล็ดพืชจะยึดติดกับเปลือกไม้และกิ่งก้านได้อย่างง่ายดาย จากนั้นวงจรชีวิตของ Mistletoe ก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ประเพณีทั่วไปอย่างหนึ่งที่มีอายุย้อนหลังไปถึงอย่างน้อยในช่วงทศวรรษ 1700 ก็คือ ประเพณีคริสต์มาสของการจูบใต้ต้น Mistletoe

รายการบล็อกของฉัน