ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2564

Butcher’s Broomผลไม้แปลกๆที่ออกลูกติดใบ

ค้นหา
Butcher’s Broomผลไม้ที่ออกลูกติดใบ
Butcher’s Broom หรือ Ruscus aculeatus เป็นไม้พุ่มยืนต้น ที่มีลำต้นแข็งและใบที่แข็ง จุดกึ่งกลางของใบจะมีดอกสีเขียวอมชมพูเล็กๆ ที่ผลิบานในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิและกลายเป็นผลเบอร์รี่สีแดงในฤดูใบไม้ร่วง 
ความพิเศษที่ไม่เหมือนผลไม้ทั่วไปคือ ผลของมันจะติดกับใบ ทำให้เป็นพืชที่ดูแปลกมากButcher’s Broom แพร่กระจายอย่างกว้างขวางจากอิหร่าน 
พวกเขาใช้มานานกว่า 2,000 ปี ใช้เป็นยาระบาย ยาขับปัสสาวะ และเพื่อรักษาโรคต่างๆเช่นโรคริดสีดวงทวารเส้นเลือดขอดมีอาการคัน และบวม
Butcher’s Broom

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2564

Snapdragon พืชสุดแปลก ที่มีดอกลักษณะเหมือนหัวกะโหลก

💀Snapdragon พืชสุดแปลก 
ที่มีดอกลักษณะเหมือนหัวกะโหลก
ค้นหา
ว่ากันว่าสาวงามต้องคู่กับดอกไม้แสนสวยที่นอกจากมีรูปลักษณ์สวยงามแล้ว ยังมีทั้งกลิ่นหอมชวนให้สัมผัส แต่เดี๋ยวก่อน!! บางครั้งดอกไม้ที่มีอยู่มากมายหลายสายพันธุ์บนโลกนี้ก็ไม่ได้สวยงามเสมอไปนะ แถมบางดอกยังดูแอบน่ากลัวอีกด้วยซ้ำ
อย่างเช่นดอก ‘Snapdragon’ ที่เราจะขอแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จัก มันเป็นหนึ่งในพืชพรรณธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสวนทั่วอเมริกา ยุโรป รวมถึงแอฟริเหนือ และมันก็มีหน้าตาประมาณนี้
ดอกไม้ชนิดนี้มีลักษณะหัวกะโหลก ซึ่งมันมีความเป็นมาตามความเชื่อโบราณว่า มันมีพลังเหนือธรรมชาติแฝงอยู่ หากปลูกไว้ในบ้านจะช่วยป้องกันคำสาป และขจัดปัดเป่าโรคร้าย หรือถ้าเอาไปให้ผู้หญิงกิน จะทำให้ไม่แก่เฒ่า เป็นสาวตลอดกาล
ต่อมาในสมัยวิกตอเรีย ดอก Snapdragon ถูกตั้งให้เป็นสัญลักษณ์แห่งการหลอกลวง ความสงสัย ความลึกลับ เพราะมันมีรูปร่างที่แปลกประหลาด และหากใครที่ซ่อนดอกชนิดนี้ไว้ในเสื้อผ้า จะทำให้บุคคลนั้นมีเสน่ห์ น่าหลงใหล

😁Johanna L. Roose นักชีวเคมีบอกว่า ‘ที่รูปทรงของมันเป็นแบบนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ดอกไม้ได้รับการผสมเกสรและกลีบที่ค่อยๆ เหี่ยวไปตามกาลเวลา ซึ่งการที่มันมีรูปร่างเปลี่ยนไป เนื่องจากเกสรตัวเมียมีละอองเรณูและรูปร่างที่เกิดจากช่องรังไข่ เมื่อมันถูกทิ้งไว้จนตายก็จะเกิดช่องโหว่ที่มีลักษณะคล้ายเบ้าตาและช่องปากนั่นเอง’
ด้วยเหตุทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาจึงทำให้เจ้า Snapdragon ที่เหี่ยวแล้ว มีลักษณะแปลกประหลาดอย่าง
ที่เห็น.....
แต่อย่างไรก็ตามดอกไม้ชนิดนี้ถือว่าเป็นพืชธรรมชาติที่แปลกและน่าสนใจมากๆ ทีเดียว ดูๆ ไปแล้วก็แอบหลอนเบาๆ เหมือนกัน

เคยเห็นไหมแอปเปิ้ลสีดำ แอปเปิ้ล Black Diamond

ค้นหา
👉เคยเห็นไหมแอปเปิ้ลสีดำ 
แอปเปิ้ล Black Diamond เป็น
แอปเปิ้ลที่หายากจากตระกูล Hua Niu Apple (หรือที่เรียกว่า Chinese Red Delicious) แอปเปิ้ลที่ไม่เหมือนใครมีสีตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ในเมือง Nyingchi 

ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ในเทือกเขาทิเบต พวกมันได้รับแสงอัลตราไวโอเลตจำนวนมากในช่วงกลางวัน แต่อุณหภูมิจะผันผวนอย่างมากในช่วงกลางคืนทำให้ผิวหนังเกิดความลึกและมืด สี. เนื้อข้างในมีสีขาวและสดใสเหมือนแอปเปิ้ลทั่วไป 
👉 ถ้าหากพูดถึงผลไม้อย่างแอปเปิ้ล โดยจะมีผลแอปเปิล แอปเปิลมีปลูกอยู่ทั่วโลกในลักษณะของไม้ผล และสายพันธุ์ที่ถูกปลูกมากที่สุดคือสกุล Malus ผลแอปเปิ้ลที่เราเห็นทั่วไปก็จะเป็น สีแดง น่าทาน เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก 

     ล่าสุด ทางด้านเพจ สีสัน 1000 ไม้ ได้โพสต์ภาพของแอปเปิ้ลสีดำ ซึ่งแปลกไปจากแอปเปิ้ลทั่วๆไป โดยเป็นแอปเปิ้ลที่มาจากประเทศทิเบต แปลกตามากๆ โดยทางเพจโพสต์ระบุว่า…

👉แอปเปิ้ลดำ พื้นที่ของทิเบต อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 3,100 เมตร อุณหภูมิกลางวันและกลางคืน มีความแตกต่างกันมาก รวมถึงแสงแดดที่ค่อนข้างจะแรง โดยรวมเหมาะสมที่จะปลูกแอปเปิ้ล Black Diamond ได้ดีเลยทีเดียว

👉แอปเปิ้ล Black diamond มีการพัฒนาพันธุ์มากจากแอปเปิ้ล Hua Niu บนพื้นที่เพาะปลูกแถบ Nyingchi และเกษตรกรในเขตนี้ยังมีฝีมือในการตัดแต่งกิ่งอีกด้วย
ลักษณะของ แอปเปิ้ล Black diamond คือ ผิวมีสีม่วงเข้ม ผิวด้าน และมีเนื้อสัมผัสดี เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีการปลูกแอปเปิ้ล Black diamond บนพื้นที่ 300 กว่าไร่ จำนวน 2 หมื่นกว่าต้น และพึ่งจะให้ผลเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
 👉แอปเปิ้ล Black diamond เป็นสินค้าที่มีปริมาณน้อย ต้นทุนในการปลูกก็สูง ทำให้ผลผลิตแอปเปิ้ล Black diamond ถูกวางจำหน่ายในรูปแบบ gift package และจัดอยู่ในตลาด high-end ที่มีราคาสูง 

โดยวางจำหน่ายที่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และ เซินเจิ้น โดยจะมีรูปแบบการจำหน่ายทั้ง Online และ Offline 
 👉แอปเปิ้ลสีดำ เป็นแอปเปิ้ลที่แปลกตามากๆ เพราะว่าเป็นสีเพ แต่ว่าเนื้อข้างในก็เป็นสีธรรมดาทั่วไป มีปริมาณน้อย ต้นทุนในการปลูกก็สูง เราจึงไม่ค่อยเห็นกันตามทางตลาดทั่วไป 

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Lithops เป็นพืชชนิดหนึ่งมีรูปร่างเหมือนก้อนหิน

สิ่งมีชีวิตที่เหมือนก้อนหิน
Lithops เป็นพืชชนิดหนึ่งในกลุ่มของพืชอวบน้ำ มีขนาดเล็ก ขึ้นอยู่ในพื้นที่แห้งแล้ง และอากาศเย็นในเวลากลางคืน ส่วนใหญ่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศนามิเบีย และประเทศแถบแอฟริกาใต้ 
ค้นหา
รูปร่างมีความแตกต่างไปจากพืชอวบน้ำทั้งรูปร่าง ลักษณะ สีสัน คล้ายคลึงกับ ก้อนหิน ก้อนกรวด จนมีผู้เรียกว่า “หินมีชีวิต”
ดอกของ Lithops ส่วนใหญ่มีสีเหลืองหรือสีขาว มีเพียงบางพันธุ์ที่มีดอกสีชมพูหรือบานเย็น Lithops ดอกมักออกในช่วงปลายปี
ประมาณช่วงฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาว ตำแหน่งดอกของ Lithops จะงอกแทรกออกมาตรงกลางระหว่างใบทั้ง 2 ของมัน
ช่วงเวลาที่ดอกบานมักจะเป็นเวลาหลังเที่ยงและหุบลงในเวลาเย็น Lithops เป็นพืชที่ต้องการการผสมเกสรข้ามต้นจึงจะติดเมล็ด
Lithops

ความลับอัศจรรย์ของน้ำเมือกหอยทาก

หอยทาก นอกจากเป็น ศัตรูของ พืช ต้นไม้ แล้ว มันยังมีประโยชน์ที่คุณๆ คาดไม่ถึง คือ ความลับอัศจรรย์ของน้ำเมือกหอยทาก  
ค้นหา (Secrets miracle of snail slime.)
น้ำเมือกเหนียวๆของหอยทาก
คือ อะไร ?  
จากที่เราเคยได้ยินมาว่าหอยทากทุกตัวเวลาเดินเราจะเห็นเป็นเหมือนคราบน้ำทางยาวตามตัวหอยทากแล้วเค้าก็บอกต่อๆกันมาว่านี่แหละเมือกหอยทาก เราทำความรู้จักเมือกหอยทากกันดีกว่าคะ

เมือกหอยทาก หรือ Snail Slime  คือสารคัดหลั่งของหอยทากที่ผลิตมาเพื่อประโยชน์สำหรับการปกป้องผิวของหอยทากทั้งที่ใช้สำหรับการเคลื่อนที่และพ้ืนผิวที่สัมผัสกับอากาศตลอดเวลาซึ่งโดยปกติที่เราพบเห็นเป็นประจำก็คือเมื่อเวลาหอยเดินจะพบเมือกนี้เป็นคราบติดอยู่บนเส้นทางที่หอยทากเดินซึ่งเมือกนี้ก็เพื่อที่จะปองป้องส่วนที่สัมผัสพ้ืนดินที่เวลาเคลื่อนที่นั่นเอง

ประวัติของเมือกหอยทาก
ปี 1961: ในสเปนใช้เมือกหอยทาก maxx snail plus ในการรักษาโรคมะเร็ง พบว่าทำให้เซลล์มะเร็งที่ฉายแสงแล้วฟื้นตัวเร็วขึ้น...

ปี 1981: ความลับอัศจรรย์ของเมือกหอยทากถูกค้นพบอีกครั้งในฟาร์มเลี้ยงหอยทาก ประเทศชิลี  พบเรื่องน่าประหลาด คือคนงานในฟาร์มเลี้ยงหอยทาก(escargot) ระหว่างที่ได้นำหอยทากไปยังร้านอาหารฝรั่งเศสเป็นประจำทุกวัน  มือของพวกเขาเนียนนุ่มน่าสัมผัส นอกจากนั้น บาดแผลที่มือหายได้อย่างรวดเร็วรอยแผลเป็นที่มีอยู่ก็จางลง จึงเป็นแรงจูงใจ ไปสู่การค้นคว้าและวิจัยสารในเมือกหอยทาก...

ปัจจุบัน นักวิจัยระบุว่า ลักษณะของคอลลาเจน(collagen)และอิลาสติน(Eastin)ที่พบในเมือกหอยทาก คล้ายคลึงกับมนุษย์ และเมือกหอยทากอุดมด้วยสารนานาประโยชน์เหมาะกับการซ่อมแซมและบำรุงผิวของคน
หอยผลิตเมือกเพื่อช่วยในการเคลื่อนที่ ลดแรงเสียดทานเหมือนเป็นการปูพรมขณะเดินที่สำคัญเมือกที่ผลิตออกมายังช่วยสมานแผลบนเนื้อเยื่อของมันเองที่เกิดการขูดขีด เสียดสี กับพื้นผิวขรุขระยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเปลือกของหอยทากได้รับความเสียหายแตกออกหอยจะใช้น้ำเมือกที่ผลิตมาช่วยซ่อมแซมและสร้างเปลือกใหม่ให้ตัวเองแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งการฟื้นฟูของเมือกหอยทากอย่างน่าอัศจรรย์
เมือกหอยทาก มีประโยชน์อย่างไรกับผิวเรา
ช่วยเร่งการผลัดและขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ ไม่สมบูรณ์ พร้อมกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรง
ช่วยป้องกัน และรักษาการชราภาพของเซลล์ผิว โดยลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นพร้อมยกกระชับผิว

ช่วยบำรุงผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวนุ่มและเรียบเนียน ละเอียดเหมือนผิวเด็ก
ช่วยรักษาสิว สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ หยุดยั้งการเติบโตของเชื้อโรค ควบคุมความมันที่อาจก่อเกิดสิวช่วยรักษารอยแผลเป็น รอยหลุมสิว รอยแตกลาย ที่สะสมมานาน ให้กลับมาเรียบเนียนอีกครั้งสารออกฤทธิ์ที่มีในเมือกหอยทาก

1.Allantoin: เป็นสารต้านการอักเสบและระคายเคืองผิว และยังช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในผิวทำให้ผิวชุ่มชิ้น ฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพลดริ้วรอยได้ดีพร้อมเร่งการผลิตเซลล์ผิวใหม่ อีกทั้งช่วยควบคุมความมันเซลล์เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น ป้องกันการระคายเคือง สมานผิว (Skin regeneration)

2.Protein: เป็นอาหารให้กับผิว ปรับสภาพผิว เพื่อให้ผิวกระจ่างใส (Luminosity)

3.Vitamin A,C,E: ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Skin renewal)

4.AHA: ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว และควบคุมความมัน

5.Mucopolysaccharides: ให้ความชุ่มชื้นกับผิว

6.Proteolytic enzyme: ช่วยรักษาสมดุลของเอนไซม์โปรติเอส

7.Collagen & Elastin: ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นเปล่งปลั่ง กระชับ เนียนเด้ง โดยถ้าคู่กับ Elastin จะเพิ่มความยืดหยุ่นให้กกับผิว..

8.Chondroitin Sulfate: ช่วยสร้างและเพิ่มพลังงานให้กับผิว เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ชวนมองครับ

เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย menmen

ต้นไม้แปลกJabuticaba ออกลูกที่ลำต้น

🌳ต้นไม้แปลก ออกลูกที่ลำต้น 
( Jabuticaba )
ต้นไม้แปลก ออกลูกที่ลำต้น
ค้นหา
Jabuticaba เป็นต้นไม้แปลก ประหลาด จะเห็นได้จากบริเวณลำต้นจะมีผลที่คล้ายองุ่นสีม่วง ผุดออกมาติดเต็มไปหมดทั้งลำต้น แทนที่จะเป็นที่กิ่ง หรือ ก้าน ทำให้มันเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า " ต้นไม้องุ่น "

รายละเอียดเกี่ยวกับ ต้นไม้องุ่น
ต้นไม้องุ่น เป็นต้นไม้ที่จะพบได้ที่ อเมริกาใต้ เช่น ที่ประเทศ บราซิล(Brazil) ปารากวัย (Paraguay) อาร์เจนตินา(Argentina)
ต้นไม้องุ่น เป็นต้นไม้ที่แปลกไม่เหมือนต้นไม้อื่น คือจะมีผลออกที่ลำต้น ต่างจากต้นไม้อื่นที่จะออกผลจากบริเวณ กิ่ง ก้าน
ผลของต้นไม้องุ่น มีลักษณะเป็นผลกลมสีม่วง หวานฉ่ำ สามารถนำมาใช้ทำแยม หรือนำไปหมักทำไวน์ หรือเหล้าก็ได้ ส่วนเปลือกสามารถใช้รักษาโรคหืด ท้องเสีย 
นักวิทยาศาสตร์ยังหวังว่ามันจะสามารถใช้รักษาโรคมะเร็งได้ เนื่องจากพบสารต่อต้านมะเร็ง

ต้นไม้องุ่น มีผลออกที่บริเวณลำต้น เนื่องจากต้องการให้สัตว์ขนาดเล็ก หรือสัตว์ที่ปีนต้นไม้ไม่ได้ สามารถเก็บผลกินได้ง่ายทำให้ เมื่อสัตว์ถ่ายมูลออกมาจะช่วยเป็นการแพร่กระจายพันธุ์ไม้
จะเห็นว่าผลจะผุดออกมาตามลำต้น เต็มไปหมด เหมือนมีใครเอาไปติดเอาไว้
พอซูมเข้าไปดูไกลก็เหมือนองุ่น แต่แทนที่จะเป็นพวง แต่กับมีแค่ผล
ต้นไม้องุ่น ต้นไม้แปลก จากดินแดนอเมริกาใต้
Jabuticaba

ดราก้อนบรีทพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก-ห้ามกิน เม็ดเดียวอาจตายได้เลย


ค้นหา
ดราก้อนบรีท” (ลมหายใจของมังกร)​ พริกที่เผ็ดที่สุดในโลก-ห้ามกิน เม็ดเดียวอาจตายได้เลย
 
รู้จักกับ “พริกดราก้อนบรีท” (Dragon’s Breath – ลมหายใจมังกร) พริกที่เผ็ดที่สุดในโลก ที่หากกินเข้าไปเพียว ๆ เพียงเม็ดเดียวอาจตายได้ เนื่องจากมันมีค่าความเผ็ดสูงถึง 2.48 ล้านสโควิลล์ (Scoville – หน่วยวัดความเข้มข้นของ ‘แคปไซซิน’ ที่เป็นสารเคมีให้ความรู้สึกเผ็ดร้อน) ซึ่งเผ็ดกว่าพริกขี้หนูสวนที่เรารู้จักถึง 20 เท่า

โดยแคปไซซิน (Capsaicin) ส่วนใหญ่จะสะสมอยู่ที่เยื้อแกนกลางสีขาวของพริก หรือที่เรียกว่า “รกพริก” (Placenta) เป็นสารธรรมชาติจำพวกอัลคาลอยด์ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ทนทานต่อความร้อนและความเย็น ดังนั้นการต้มหรือแช่แข็งก็ไม่มีผลทำให้ความเผ็ดสูญเสียไป คนส่วนใหญ่มักคิดว่าเมล็ดในพริกคือส่วนที่เผ็ดที่สุดแต่แท้จริง เมล็ดนั้นมีสารแคปไซซินอยู่น้อยมาก

ไมค์ สมิธ เจ้าของสวนทอมสมิธ ประเทศอังกฤษ ผู้คิดค้นและพัฒนาพริกสุดโหดนี้ ให้สัมภาษณ์กับ LiveScience ว่า “ผมไม่แนะนำให้ใครกินพริกนี้ทั้งสิ้น เพราะมันอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่คน ๆ นั้นได้กิน เพราะผมเคยลองชิมมัน ปรากฎว่ามันร้อนจนหูอื้อ ตาลาย มึน และลิ้นผมไหม้จนเกิดแผลพุพองในปากเลยล่ะ”

และถึงแม้จะไม่เคยมีใครเสียชีวิตด้วยการกินพริกดราก้อนบีทนี้ก็จริง แต่ในปี 2016 มีรายงานทางการแพทย์ระบุว่า “ชายชาวอเมริกันวัย 47 ปี กินเบอร์เกอร์ที่ราดด้วยซอสพริก Ghost Pepper มีค่าความเผ็ดอยู่ที่ 1 ล้านสโควิลล์  ด้วยความร้อนขนาดนี้ทำให้ชายคนดังกล่าวอาเจียนเป็นเลือด หลอดอาหารฉีกขาด กระเพาะอาหารเป็นแผลทะลุ เกิดอาการหูอื้อ มึนงง ช็อก จนสุดท้ายชายคนนั้นก็เสียชีวิตลง ซึ่งพริกชนิดนี้มีความเผ็ดน้อยกว่าพริกดราก้อนบรีทถึง 2 เท่า นั่นหมายความว่า หากกินพริกดราก้อนบรีทเข้าไปจริง ๆ ก็ไม่รอดเช่นกัน”

พอล บอสแลนด์ (Paul Bosland) ศาสตราจารย์ด้านพืชสวนแห่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวเม็กซิโก ระบุว่า “สาเหตุที่ร่างกายเกิดแผลพุพองหรืออวัยวะภายในเกิดแผลเมื่อกินพริกที่เผ็ดจัด นั่นเป็นกลไกการป้องกันตัวเอง โดยแผลพุงพองต่าง ๆ จะเป็นตัวดูดซับสารแคปไซซินหรือระงับความเผ็ดในร่างกาย ซึ่งหากเกิดแผลมาก ๆ ร่างกายอาจรับไม่ไหวจนต้องเสียชีวิตลงนั่นเอง”

อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้คิดค้นและปลูกพริกสุดโหดนี้ขึ้นมา ไม่ได้หวังจะให้นำพริกสุดโหดนี้ไปปรุงอาหาร แต่ตั้งใจจะนำมันไปใช้ในทางการแพทย์เพื่อผลิตเป็นยาชาธรรมชาติ ซึ่งจะแก้ปัญหาสำหรับผู้ป่วยที่แพ้ยาชาแบบเคมีนั่นเอง
ประโยชน์ของพริก – สารแคปไซซินมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูก บรรเทาอาการหวัดหรือหายใจติดขัด ลดการอุดตันในหลอดเลือด ช่วยยับยั้งการสร้างโคเลสเตอรอลในตับ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากในพริกมีวิตามินซีสูง ซึ่งจะไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง

รายการบล็อกของฉัน