ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Pando สิ่งมีชีวิตที่มีอายุมากที่สุดในโลกกำลังจะตายอย่างช้าๆ

Pando สิ่งมีชีวิตที่มีอายุมากที่สุดในโลกกำลังจะตายอย่างช้าๆ…โดยฝีมือมนุษย์

Pando เป็นป่าไม้หรือกอไม้ขนาดใหญ่เป็นอาณานิคมประกอบด้วยต้นไม้พันธุ์ Quaking aspen 
(Populus tremuloides) ประมาณ 47,000 ต้นที่มีระบบรากเดียวกัน ตั้งอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติ Fishlake ในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา มีอายุประมาณ 80,000 ปี ต้นแอสเพนต้นแรกแตกหน่อมาตั้งแต่ช่วงหลังยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายใหม่ๆ และแผ่ขยายออกไปครอบคลุมพื้นที่กว่า 268 ไร่จนกลายเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอีกด้วย แต่จากผลงานวิจัยล่าสุดพบว่ามันกำลังจะตายอย่างช้าๆ…โดยฝีมือมนุษย์

Quaking aspen เป็นต้นไม้พันธุ์ประหลาดสามารถขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศจากระบบรากของมันได้ ต้นแอสเพนแต่ละต้นใน Pando แตกหน่อและเติบโตบนระบบรากเดียวกันกลายเป็นสวนแอสเพนขนาดใหญ่ มันเป็นต้นไม้สูงใหญ่บวกกับมีจำนวนมากจึงมีน้ำหนักรวมทั้งหมดถึง 6,000 ตัน มันจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่หนักที่สุดในโลกด้วย และมักถูกเรียกว่า Trembling Giant

นักนิเวศวิทยา Paul Rogers จากมหาวิทยาลัยยูทาห์และทีมงานได้ทำการศึกษาการเจริญเติบโตของ Pando ตรวจนับจำนวนต้นแอสเพนที่ยังมีชีวิต จำนวนต้นที่ตาย และจำนวนต้นที่เติบโตขึ้นใหม่ และข้อมูลประกอบอื่นๆ พวกเขาพบว่า Pando เริ่มเสื่อมสภาพมาหลายทศวรรษแล้ว
ในช่วง 30 – 40 ปีหลังสุด Pando ไม่สามารถผลิตต้นใหม่ได้มากพอที่จะทดแทนต้นที่ตายไป สาเหตุสำคัญมาจากพวกสัตว์กินหญ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งกวางล่อ (Mule Deer) ได้เข้าไปกินหน่ออ่อนของมันเร็วกว่าที่มันจะเติบโตได้ทัน

การที่สัตว์เหล่านั้นสามารถเข้าไปกินต้นอ่อนใน Pando ได้เนื่องจากรั้วที่สร้างป้องกันเอาไว้ใช้ไม่ได้ผล ตอนทำโครงการกั้นรั้วใน Pando ใหม่ๆก็ดูมีความหวัง แต่เนื่องจากไม่มีการติดตามดูแลมันจึงป้องกันไม่ได้ ทีมวิจัยพบว่าสัตว์สามารถลอดผ่านรั้วไปได้
“หลังจากที่ได้ลงทุนไปไม่น้อยในการป้องกัน Pando เรารู้สึกผิดหวังที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ พวกกวางล่อพบหนทางที่จะเข้าไปข้างในป่าผ่านทางจุดอ่อนของรั้วหรือกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางสูง 8 ฟุตไปได้” Rogers กล่าว “Pando อยู่มาได้หลายหมื่นปี แต่มันกำลังจะตายท่ามกลางการเฝ้าดูของพวกเรา บทเรียนที่เราได้รับคือเราไม่สามารถบริหารจัดการสัตว์ป่าแยกส่วนกับป่าไม้ได้”

แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด หากดูจากภาพถ่ายทางอากาศจะพบว่ายังคงมีการตัดไม้ทำลายป่าโดยมนุษย์เพื่อสร้างบ้านและทำที่ตั้งแคมป์อยู่จนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้มนุษย์ยังมีส่วนรับผิดชอบต่อการเพิ่มจำนวนของกวางซึ่งในรัฐยูทาห์กวางมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปราบปรามผู้ล่ามันตามธรรมชาติในพื้นที่แถบนี้ เช่น หมาป่าและหมี เพราะว่าการล่าสัตว์ในพื้นที่นันทนาการอย่างเช่น Pando เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
เนื่องด้วยต้นแอสเพนที่โตแล้วมีอายุอยู่ได้ 100 -130 ปี ดังนั้นสิ่งที่ป่า Pando ต้องการคือเวลาที่มากขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อให้ต้นใหม่ของมันเติบโตได้ทันก่อนที่จะถูกพวกกวางกินเป็นอาหาร ทางเลือกที่ทำได้คือการทำรั้วที่ดีกว่าเดิมซึ่งสามารถป้องกันพวกกวางได้จริง อีกทางเลือกคือเปิดทางให้พวกนักล่ามืออาชีพเข้าไปลดจำนวนกวางลง หรืออาจจำเป็นต้องทำร่วมกันทั้งสองวิธี

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Great Barrier Reef ผ่านการตาย-เกิดใหม่มา 5 ครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้าย

Great Barrier Reef แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกกำลังประสบกับปรากฎการณ์ฟอกขาวที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ปี 2016 และมันยิ่งขยายบริเวณและความรุนแรงของสภาวะฟอกขาวเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ หลายคนคิดว่ามันกำลังจะตาย นักวิจัยได้เผยผลการศึกษาที่พบว่า Great Barrier Reef เคยผ่านการตายและเกิดใหม่มาแล้ว 5 ครั้ง แต่ทว่าการตายของมันครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้

ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติได้ทำการศึกษาเรื่องนี้นานกว่า 10 ปี โดยการขุดเจาะแกนปะการังฟอสซิลตามแนวชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียจำนวน 16 แห่ง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลอายุ ลักษณะทางธรณีสัณฐานวิทยา ทางตะกอนวิทยา และทางชีววิทยา ทีมวิจัยสามารถรวบรวมวิวัฒนาการของแนวปะการัง Great Barrier Reef ในช่วง 30,000 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นคืนกลับมาจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมาได้ดีเพียงใด

นักวิจัยพบหลักฐานว่า Great Barrier Reef เกิดเหตุการณ์ “ตาย” มาแล้ว 5 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล สองครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 30,000 ปีและ 22,000 ปีมาแล้ว จากปัญหาระดับน้ำทะเลลดลงอย่างมาก ระดับต่ำสุดต่ำกว่าระดับปัจจุบันถึง 118 เมตร ซึ่งทำให้แนวปะการังต้องสัมผัสกับอากาศตลอดเวลา

เมื่อยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลง การละลายของธารน้ำแข็งทำให้ระดับน้ำทะเลสูงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อันเป็นผลให้ Great Barrier Reef ตายอีก 2 ครั้งในราว 17,000 ปี และ 13,000 ปีก่อน เนื่องจากแนวปะการังจมน้ำลึกเกินกว่าจะได้รับแสงอาทิตย์
การตายครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อราว 10,000 ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล ทีมวิจัยพบว่าการตายอาจจะเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของตะกอนซึ่งทำให้คุณภาพน้ำลดลง
การที่แนวปะการังยังคงอยู่รอดผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาได้แสดงให้เห็นว่ามันมีการปรับตัวและฟื้นคืนสภาพในการเผชิญกับอันตรายมากกว่าที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะปะการังแผ่ขยายออกไปด้วยอัตรา 0.2 ถึง 1.5 เมตรต่อปี นั่นหมายถึงว่ามันสามารถอพยพไปอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัยตามระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ระดับน้ำทะเลที่เปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งใช้เวลานับพันปี แต่ละปีจึงมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ปะการังสามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงได้ทัน
Great Barrier Reef
แต่สำหรับวิกฤตการณ์ที่กำลังเกิดกับ Great Barrier Reef ในปัจจุบันไม่ได้เป็นอย่างในอดีต เพราะมันกำลังถูกทำลายด้วยอัตราที่รวดเร็วแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รายงานฉบับล่าสุดสรุปว่าอิทธิพลของมนุษย์ได้ทำลายปะการังลงไปครึ่งหนึ่งระหว่างปี 1985 และ 2012
“ผมมีความกังวลอย่างมากว่าแนวปะการังจะสามารถอยู่รอดจากปัญหาหลายอย่างที่รุมเร้าอยู่ในขณะนี้ได้หรือไม่” Jody Webster หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์กล่าว “การศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่าแนวปะการังมีความอ่อนไหวต่อตะกอนเช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล ดังนั้นเราจำเป็นต้องเข้าใจให้ได้ว่าอุตสาหกรรมหลักส่งผลกระทบต่อแนวปะการังในประเด็นการเพิ่มตะกอนและการลดคุณภาพของน้ำอย่างไร”

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2561

มาทำสวนครัวให้เป็นภาพศิลปะธรรมชาติแขวนบนผนังบ้าน

มาทำสวนครัวให้เป็นภาพศิลปะธรรมชาติแขวนบนผนังบ้านกันเถอะ
มีงานศิลปะไม่มากชิ้นหรอกที่จะสวยงามเหมือนกับธรรมชาติจริงๆ แล้วทำไมไม่เอาธรรมชาติใส่กรอบและแขวนบนผนังที่บ้านของคุณล่ะ? นั่นคือแนวคิดที่อยู่เบื้องหลัง “Wall Garden” กระถางปลูกพืชแบบแอโรโพนิกส์รุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแขวนเหมือนกับรูปภาพ และปลูกพืชสมุนไพร ดอกไม้ และผัก
แนวคิดสำหรับ Wall Garden เกิดจาก David Liston ที่ต้องการบางสิ่งบางอย่างที่จะช่วยในการต่อสู้กับความแปรปรวนของฤดูกาลที่เกิดจากความมืดในช่วงฤดู​​หนาวและพื้นที่ที่จำกัดในห้องครัวของเขา Liston และเพื่อนสามคนจากวิทยาลัยใช้เวลาหนึ่งปีในการพัฒนาความคิดและเปิดตัวภายใต้บริษัท Living Art Company ของพวกเขา
การออกแบบขั้นสุดท้ายได้รวมกับสวนครัวในบ้านอย่างลงตัว คล้ายกับผลิตภัณฑ์ของ Click and Grow และ PodPlants โดยการใช้พื้นที่ของผนังซึ่งช่วยประหยัดพื้นที่ส่วนอื่นๆ
แน่นอนว่าสวนผักติดผนังมันมีมาก่อนอยู่แล้ว แต่ Wall Garden ยังประกอบด้วยการรดน้ำอัตโนมัติและระบบไฟแสงสว่างสำหรับพืชที่ปลูก เริ่มต้นด้วยชุดสวนครัวพื้นฐานขนาด 13 x 15.4 x 3.5 นิ้ว (33 x 39.1 x 8.9 ซม.) ที่มีช่องสำหรับกระถาง 5 ช่อง ติดตั้งบนผนังใกล้กับปลั๊กไฟ ติดกรอบแม่เหล็กเข้ากับชุดสวนครัว ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ 18.4 x 18.5 นิ้ว (45.7 x 47 ซม.) ตัวกรอบสามารถสับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับการตกแต่งภายในห้องได้

ผู้ใช้จะสามารถเลือกชนิดของพืชที่จะปลูกได้ ชุดกระถางจะมีพืชชนิดที่ต้องการแสงและน้ำที่คล้ายๆกันให้เลือก Wall Garden มีชุดกระถางให้ แต่ผู้ใช้สามารถซื้อชุดกระถางมาเปลี่ยนใหม่ได้จากเว็บไซต์ Living Art ในราคา 10-15 ดอลลาร์สหรัฐ
ใส่น้ำลงไปในกระถางและสวมกระถางเข้าไปในช่องของชุดสวนครัว Living Art กล่าวว่า Wall Garden สามารถใช้ปลูกโหระพา ผักกาดหอม ผักชีฝรั่ง ผักชี ผักคะน้า แตงกวา มิ้นท์ โบราจ ถั่วแคระ โรสแมรี่ มะเขือเทศ เชอร์รี่ และอื่นๆ พวกเขามีแผนจะสำรวจคนที่สั่งซื้อ Wall Garden เพื่อที่จะตัดสินใจว่ามีพืชชนิดไหนบ้างในการวางตลาด
Wall Garden มีราคาจองที่ 300 ดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะส่งของได้ในเดือนมีนาคม 2017
สามารถเติมน้ำและสารอาหารผ่านทางพวยด้านข้างของชุดสวนครัว และเมื่อเสียบปลั๊กมันจะพ่นละอองน้ำและสารอาหารไปที่รากของพืช น้ำที่เหลือจะตกลงไปในที่เก็บน้ำด้านล่างของตัวเครื่องเพื่อนำกลับมาใช้หมุนเวียนต่อไป Living Art กล่าวว่าจะต้องเติมน้ำและสารอาหารทุก 2-4 สัปดาห์
นอกจากนี้การเจริญเติบโตของพืชยังได้รับการสนับสนุนจากไฟ LED ที่ติดตั้งอยู่ด้านบนของชุดสวนครัว แอปมือถือ (มีทั้ง Android และ iOS) จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งเวลาเมื่อเปิดปิดไฟ แจ้งเตือนเมื่อระดับน้ำต่ำ และช่วยแนะนำวิธีการปลูกพืชด้วย

จากที่เริ่มต้นเป็นผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า Wall Garden ช่วยให้ผู้ใช้ปลูกสมุนไพร ดอกไม้ และผักที่เขาเลือกเองจนเจริญเติบโตเต็มกรอบรูป นอกจากนี้ยังไม่มีการใช้ยากำจัดศัตรูพืช ไม่ใช้ดิน การบำรุงรักษาต่ำ และยังเป็นตัวกรองอากาศแบบธรรมชาติในบ้าน Wall Garden กินไฟเพียงประมาณ 650 วัตต์ต่อวัน

พบเห็ดบางชนิดสามารถกินพลาสติกได้ อาจช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติกล้นโลก

พบเห็ดบางชนิดสามารถ ‘กิน’ พลาสติกได้ อาจช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติกล้นโลก
บางทีเห็ดหรือฟังไจ (Fungi) อาจเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะสงครามขยะพลาสติกล้นโลกก็เป็นได้ เมื่อมีการพบเห็ดที่สามารถกินหรือย่อยสลายพลาสติกได้ภายในเวลาหลายสัปดาห์ แทนที่จะเป็นหลายสิบปีหากปล่อยให้ย่อยสลายเองตามธรรมชาติ

รายงานจากงานวิจัยของสวนพฤกษศาสตร์ Kew Gardens ประเทศอังกฤษซึ่งประกอบด้วยทีมนักวิทยาศาสตร์จาก 18 ประเทศจำนวนกว่า 100 คนได้แสดงศักยภาพของฟังไจที่หลากหลาย ทั้งสามารถย่อยสลายพลาสติก, ทำความสะอาดวัสดุกัมมันตรังสี และแม้กระทั่งช่วยเร่งกระบวนการผลิตไบโอดีเซล
ฟังไจ Aspergillus tubingensis
ซึ่งถูกพบโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนจากกองขยะในปากีสถานเมื่อปี 2017 สามารถเติบโตบนผิวของพลาสติก เอนไซม์ชนิดพิเศษของมันสามารถทำลายพันธะเคมีระหว่างโมเลกุลของพลาสติก แล้วแยกโมเลกุลของพลาสติกออกจากกันโดยใช้เส้นใย (mycelium) ของมัน
ในรายงานบอกว่า “ความสามารถนี้มีศักยภาพที่จะพัฒนาให้เป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากขยะพลาสติกที่เพิ่มมากขึ้นได้”

“นี่เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อเพราะเป็นความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่ ถ้ามันสามารถแก้ปัญหาได้จริงจะเป็นเรื่องที่ดีมาก” Ilia Leitch นักวิทยาศาสตร์อาวุโสที่ Kew Gardens กล่าว “เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการวิจัย แต่ฉันหวังจะได้เห็นการใช้ประโยชน์จากฟังไจที่สามารถกินพลาสติกได้ภายใน 5 ถึง 10 ปี”
เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานว่าขยะจากอังกฤษซึ่งถูกส่งไปรีไซเคิลที่โปแลนด์จริงๆแล้วกำลังถูกเผาและพ่นอนุภาคมีพิษอันตรายขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ จึงหวังว่าฟังไจจะสามารถปฏิวัติกระบวนการรีไซเคิลและให้วิธีย่อยสลายพลาสติกที่ปลอดภัยและยั่งยืน

ในรายงานยังได้กล่าวถึงบทบาทและความสำคัญของฟังไจที่ถูกใช้ในเบียร์ (ยีสต์), ยาเพนิซิลลิน, ผงซักฟอก และชีส รวมทั้งฟังไจชนิดที่รู้จักกันมากที่สุดก็คือเห็ดซึ่งมีการบริโภคทั่วโลกมากถึงปีละ 42.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีฟังไจบางชนิดถูกนำไปใช้สำหรับงานก่อสร้างด้วย
อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่ายังมีฟังไจอีก 93 เปอร์เซ็นต์ที่เรายังไม่รู้จักจากทั้งหมดที่คาดว่ามีราว 6 ล้านสายพันธุ์ ทุกๆปีจะมีการพบฟังไจสายพันธุ์ใหม่ราว 2,000 ชนิด ปี 2017 ที่ผ่านมามีการพบฟังไจสายพันธุ์ใหม่ในฝุ่น, ในภาพสีน้ำมัน และพบสายพันธุ์ใหม่ชนิดหนึ่งซ่อนอยู่ใต้เล็บมือคน

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561

ชายอินเดียที่ปลูกต้นไม้ต่อเนื่องมากว่า40ปี


ชายอินเดียที่ปลูกต้นไม้ต่อเนื่องมากว่า 40 ปี
Jadav Payeng เจ้าหน้าที่ป่าไม้ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย เป็นที่รู้จักกันในชื่อ Forest Man 
ย้อนไปตอนเขาอายุ 16 ได้เกิดเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่ที่เขาอาศัยอยู่ทำให้หน้าดินถูกชะล้าง 

ตอนนั้นเขาถามผู้นำว่าต้องทำอย่างไรไม่ให้เกิด ในตอนนั้นทางผู้นำบอกว่าต้องเพิ่มพื้นที่ป่า แต่พื้นที่ที่เขาอาศัยอยู่นั้นเป็นทะเลทรายผู้ใหญ่ก็บอกว่ายากที่จะปลูกต้นไม้ แต่เขาก็พยายามที่จะหาพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมมาปลูก

เขาออกเดินทางปลูกต้นไม้ต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลากว่า 40 ปี จนได้ผืนป่าขนาดใหญ่ที่สมบูรณ์บนเกาะ Majuli กลับคืนมาอีกครั้ง เรื่องราวของเขาถูกนำไปทำเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ได้รับการตอบรับที่ดีทั่วโลก

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Saalumarada Thimmakka คุณยายนักปลูกต้นไม้

คุณยายที่ปลูกและดูแลต้นไม้จนกลายเป็นอุโมงค์ธรรมชาติแสนงดงาม
Saalumarada Thimmakka คุณยายวัย 105 ปีในประเทศอินเดีย ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของต้นไม้ ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีก่อน คุณยายได้แต่งงานกับสามีแต่ไม่สามารถมีลูกได้ แม้แต่งงานมานานคุณยายจึงขอให้ Bikkala Chikkayya ผู้เป็นสามีไปมีภรรยาอีกเนื่องจากเธอไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ 

แต่สามีของคุณยายปฏิเสธและยังคงรักคุณยาย พวกเขาจึงตัดสินใจปลูกต้นไม้ประจำชาติประเทศอินเดียไว้สองข้างถนนเพื่อทดแทนต้นไม้ที่ใกล้ตายในตอนนั้น พวกเขาช่วยกันปลูกต้นบันยันวันละไม่กี่ต้น จนตอนนี้มีต้นไม้ที่พวกเขาปลูกด้วยกันมากกว่า 300 ต้น เป็นระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร
ทุกเช้าก่อนไปทำงานและหลังเลิกงานพวกเขาจะมารถน้ำต้นไม้และช่วยกันดูแลเหมือนลูก แม้สามีของเธอจะจากไปแล้ว แต่เธอยังคงเฝ้าดูแลต้นไม้ที่เคยได้ปลูกด้วยกัน จนตอนนี้ถนนเส้นนี้มีต้นไม้ร่มรื่นกลายเป็นอุโมงค์ธรรมชาติแสนงดงาม

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ไอเดียดีที่อินเดียโรงเรียนชนบทแห่งหนึ่งให้ผู้ปกครอง ปลูกต้นไม้ แทน จ่ายเงินค่าเทอม

ไอเดียดีที่อินเดีย…โรงเรียนชนบทแห่งหนึ่งให้ผู้ปกครอง ‘ปลูกต้นไม้’ แทน ‘จ่ายเงินค่าเทอม’ ต้องเรียกว่าโรงเรียนในอุดมคติเลย
แม้การศึกษาขั้นพื้นฐานจะออกเป็นกฎหมายที่ผู้ปกครองจะต้อง ให้บุตรหลานในการดูแลของต้นเข้ารับการเรียนแต่ใช้ว่าผู้ปกครองทุกคนจะมีเงินที่จะส่งลูกเรียนได้ โดยเฉพาะในชนบทที่มีฐานะยากจน การเข้าถึงการศึกษาของเด็กๆ จึงมีน้อยกว่าคนในเมืองเป็นอย่างมาก เรามาดูไอเดียดีๆ ที่เกิดขึ้นในอินเดีย ที่จะช่วยให้เด็กๆทุกคนสามารถเข้ารับการเรียนได้อย่างเท่าเทียม โดยที่ผู้ปกครองไม่ต้องจ่ายเงินเพียงแต่ปลูกต้นกล้าแทน เพิ่มจำนวนพื้นที่สีเขียว

โรงเรียน Shiksha Kuteer แห่งนี้ตั้งอยู่ในเมือง Chhattisgarh มีนโยบายช่วยเหลือผู้ปกครองนักเรียนชั้นประถมศึกษาในชนบทได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม โดยให้ผู้ปกครองปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่โรงเรียนจัดไว้ แทนการจ่ายค่าธรรมเนียมรายเทอม เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับโรงเรียนอื่นๆในอุดมคติหล่อหลอมให้นักเรียนและชาวบ้านเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม


Sevak Das ชาวบ้านในหมู่บ้านเล่าว่า “สถานศึกษาแห่งนี้เปิดในหมู่บ้านที่หลายครอบครัวมีฐานะยากจน ทำให้ไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับลูกหลาน นโยบายดังกล่าวจึงเข้ามาช่วยเหลือในด้านนี้แทน ซึ่งนักเรียนจะได้รับการสอนภาษาอังกฤษ และความรู้ตามมาตรฐาน โรงเรียนได้บอกกับผู้ปกครองให้ปลูกต้นกล้าพืชต่างๆ แทนการเก็บเงินค่าเทอม”

แม้จะมีนักเรียนไม่มากเพียง 35 คน แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่มีความตั้งใจที่จะส่งลูกหลานของพวกเขาเพื่อมาศึกษาหาความรู้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ความคิดริเริ่มที่โรงเรียนแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มผู้เชียวชาญท้องถิ่นและนักธรุกิจ ผู้ปกครองที่ไม่มีเงินมากพอ ก็จะสามารถส่งลูกเรียนได้แบบฟรีๆ
ที่มา : goodn

เพนตากอนวางแผนสร้าง ปลอกกระสุนปืนรักษ์โลก

คิดได้ไง? เพนตากอนวางแผนสร้าง ‘ปลอกกระสุนปืนรักษ์โลก’ ยิงออกไปเมื่อใดเท่ากับได้ปลูกต้นไม้
เมื่อนั้น เป็นยังไง มาดูกัน เหอๆ
เพราะตอนนี้โลกกำลังประสบปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ จึงวางแผนให้นักวิทยาศาสตร์ออกแบบปลอกกระสุนที่สามารถย่อยสลายได้ โดยบรรจุเมล็ดพืชลงไปด้วย

กองทัพสหรัฐจัดการอบรมด้านการทหารทั่วประเทศ รวมถึงทั่วโลก นับเป็นอีกหนึ่งปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วนนั้นก็คือ เศษซากของปลอกกระสุนปืนจำนวนมากที่ถูกใช้ในการฝึกซ้อมรบ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปีกว่าจะย่อยสลายได้ เมื่อปลอกกระสุนเหล่านี้เกิดสนิม จะสร้างมลพิษในน้ำและดินไปอีกยาวนาน

จึงมีแผนให้นักวิทยาศาสตร์คิดค้นปลอกกระสุนที่สามารถย่อยสลายได้พร้อมบรรจุเมล็ดพืชลงไปด้วย โดยที่จะไม่งอกออกมาก่อนได้รับดินเป็นเวลาหลายเดือน คาดว่าจะใช้เส้นใยจากไม้ไผ่ เป็นส่วนประกอบในการย่อยสลาย

อย่างไรก็ตามกระทรวงกลาโหมไม่ได้ระบุว่าเป็นพืชชนิดไหน และไม่ได้รับรองว่าหากสัตว์กินเข้าไปแล้วจะได้รับอันตรายหรือไม่ นับเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันเพราะซากกระสุนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังคงถูกฝังอยู่ใต้ดินเป็นจำนวนไม่น้อยเลยหละ ที่จะสร้างมลพิษในดินและน้ำไปอีกนานโดยที่เรายังหาไม่เจอ
เรียบเรียงโดย : Spo

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ประโยชน์ของกระเทียม

“ประโยชน์ของกระเทียม”
กระเทียม  เป็นพืชชนิดหนึ่งที่เรานำมาประกอบอาหารทั้งใบและหัว  นอกจากนั้นยังเป็นพืชสมุนไพรสามารถที่จะรักษาโรคได้หลายชนิด  ซึ่งหลายคนยังไม่รู้ว่ากระเทียมนั้นมีประโยชน์มากมาย  แม้จะมีกลิ่นที่ฉุนและมีรสเผ็ดก็ตาม  ในทางตำราโบราณได้กล่าวถึงการใช้กระเทียมในการรักษาโรคต่างๆมานานแล้วไม่ได้มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้นที่อื่นจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์มีการใช้งานในหลายที่เช่นกัน  แม้กระทั่งใช้เพื่อกันผีหากเราดูหนังฝรั่งบางเรื่องจะใช้กันผีดูดเลือดแต่ทั้งนี้เป็นความเชื่อของคนโบราณ  กระเทียมสามารถรักษาใช้ได้ทั้งภายนอกและภายใน  และนำไปแปรรูปเป็นยาชนิดอื่นและมีรูปแบบต่างๆเพื่อให้ง่ายต่อการกิน  ทางการแพทย์ในโบราณถือได้ว่าเป็นยาดีที่รักษาโรคได้มากมาย
               
กระเทียมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์  Allium  Sotivum Linn  เป็นพืชพวกหญ้าที่มีหัวอยู่ในดิน  โดยหัวมีลักษณะเป็นกลีบเป็นซีกๆรวมกันเป็นกระจุกใบเรียวยาว  มีรสเผ็ดและกลิ่นฉุน  และมีหลายพันธุ์ที่เรานำมาใช้ประกอบอาหาร  มีข้อมูลว่ากระเทียมได้นำมาใช้ประโยชน์มากกว่า 5 พันปีมาแล้ว  ในทางประวัติศาสตร์จีนได้นำกระเทียมมาใช้เมื่อ 4 พันปีมาแล้ว  โดยนำมาเป็นยารักษาโรคจนรอดตายมาแล้ว  ชาวอียิปต์นำกระเทียมมารักษาโรคต่างๆ  เช่น  ปวดหัว  หอบหืด  โรคหวัด  บรรเทาอาการไอ  ขับเสมหะ  ปวดฟัน  ขับปัสสาวะ  เป็นต้น  ชาวยิวได้นำมาประกอบอาหารและมีความเชื่อเรื่องให้โชคลางอีกด้วย  ฮิปโปเครติสใช้กระเทียมในการรักษาโรคเรื้อน  เมื่อก่อนทางใต้ของฝรั่งเศสเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นและมีผู้คนล้มตายจำนวนมากแต่มีคนจำนวนหนึ่งซึ่งดื่มน้ำส้มสายชูผสมกับกระเทียมรอดชีวิตออกมาได้  นอกจากนั้นยังนำกระเทียมมาใช้เป็นยาฆ่าแมลงอีกด้วย
ประโยชน์ของกระเทียมในการนำไปใช้
                 
1.กลาก  เกลื้อน  มีการใช้งานมานานแล้วโดยการนำกระเทียมมาทารักษา  หรือว่าอาการต่างๆตามผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา  อาการคันต่างๆ  ที่พบว่ากระเทียมมีสารอัลลิซิน  มีลักษณะเป็นน้ำมัน  สามารถฆ่าเชื้อราได้โดยใช้ระยะเวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น  มีการทดลองว่าใช้กระเทียมรักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราได้หลายชนิด  ทั้งเล็บที่เกิดจากเชื้อรา  โดยการนำกระเทียม 4 – 5 กลีบบดให้ละเอียดแล้วนำมาทาที่เล็บประมาณ 1 ชั่วโมง  หรือใช้วิธีเดียวกันนำไปทาบริเวณที่เป้นกลากเกลื้อนได้  ให้ทาทุกวันจนหาย  กระเทียมยังมีสารชนิดอื่นที่ยับยั้งเชื้อรา
                 
2.ลดไขมันและโคเลสเตอรอล  มีการทดลองว่าน้ำคั้นจากกระเทียมสามารถลดไขมันในเลือดได้ป้องกันและลดอาการความดันโลหิตสูง  โดยมีการพบสารหลายชนิดที่ใช้ลดไขมันเช่น    ซีลีเลียม  อัลลิซิน  สคอร์ดินิน  เจอร์เม้นียน  ช่วยปรับความสมดุลในเลือดได้  โดยได้ทดลองอยู่หลายแห่ง  จึงสรุปว่ากระเทียมช่วยลดไขมันได้  หากรับกระเทียมสด  ครั้งละ 1 ช้อนชา  วันละ 3 ครั้ง
                  
3.แก้หอบหืด  พบว่ากระเทียมในน้ำมันที่เมื่อทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้ร่างกายขับสารออกมาที่หลอดลม  ทำให้เยื่อบุผนังของหลอดลม  มีความแข็งแรงงลดอาการเกร็ง    ตัวของหลอดลม  ทำให้คนที่กินกระเทียมช่วยอาการหอบหืดลดลงได้
                 
4.อาการไอและขับเสมหะ  เนื่องจากมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจ  ซึ่งเกิดจากไวรัสและแบคทีเรีย  โดยกระเทียมมีสารต้านไวรัสและแบคทีเรียจึงทำให้อาหารไอและขับเหมหะออกไปได้  โดยนำกระเทียม 1 – 2 กลีบ  มาบดละเอียดผสมกับน้ำส้มสายชู 2 – 3 ช้อนโต๊ะนำไปใส่น้ำดื่ม 1 ลิตร  หรือนำกระเทียมมาหมักกับข้าวเปลือกแล้วมารับประทานกับอาหาร
                  
5.บำรุงผมและหนังศีรษะ  กระเทียมฆ่าเชื้อราได้เป็นอย่างดีซึ่งเป้ฯสาเหตุหนึ่งของอาการคันและมีรังแค  นอกจากนั้นกระเทียมยังบำรุงผมได้ดีอีกด้วย  โดยเฉพาะผู้ที่มีผมมันจะทำให้ผมและหนังศีรษะสะอาด  มีซัลเฟอร์  ทำให้ผมแข็งแรงและมีน้ำหนัก  โดยนำกระเทียม 5 – 8 กลีบมาบดละเอียดผสมกับน้ำมันละหุ่ง 8 ช้อนโต๊ะ  หลังสระผมใช้ชโลมให้ทั่วเหมือนครีมนวดผม
                 
6.รักษาแผล  ไม่ว่าจะเป็นแผลสดแผลมีหนองช่วยรักษาได้  เนื่องจากมีสารอัลซีลินในการรักษาแผลที่เป็นหนองได้หากเป็นแผลสดให้ขยี้แล้วทาที่แผลหรือนำผ้ามาผิดทับเอาไว้ที่แผล  หากเป็นแผลที่มีหนองให้คั้นเอาน้ำกระเทียม 1 ส่วนต่อน้ำต้มสุก 4 ส่วน  ล้าบาดแผลและใส่เป็นยาแผลได้
                  
7.ไข้หวัด  กระเทียมมีสาร  ซัลไฟล์  แบะไดซัลไฟล์  เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะเสริมสร้างภูมิต้านทานได้ดีขึ้น  หรือถ้าหากรู้สึกว่ากำลังจะเป็นหวัดก็ให้กินป้องกันไว้  โดยนำกระเทียมตำกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชาเติมน้ำร้อนเข้าไป 1 ถ้วย  ดื่มวันละ 3 เวลา
                  
8.ขับพยาธิ เนื่องจากกระเทียมมีสารที่ชื่อ  ปิเปอธาซีน  มีผลในการฆ่าพยาธิไส้เดือน  พยาธิเส้นด้าย  โดยการทดลองพบว่าจะทำให้พยาธิซักและอ่อนเพลียแล้วขับออกมา  โดยพยาธิแต่ละชนิดจะใช้กระเทียมในการรักษาที่แตกต่างกัน  เช่นพยาธิเข็มหมุดให้กินมันละ 1 กรัมก่อนนอนติดต่อกัน 4 – 5 วัน
                   
9.รักษาอาการปวดตามข้อ  สามารถที่จะบรรเทาอาการเคล็ดขัดยอก  เท้าแพลง  ปวดตามข้อ  น้ำมันของกระเทียมนั้นสามารถที่จะรักษาอาการต่างๆได้โดยการกินวันละ 7 หัว  เป็นรักษาอาการปวดจากภายใน  หรือกินกระเทียมดอง 5 -7 กลีบ
10.ปวดท้อง  ท้องอืด  ท้องเฟ้อ  ให้รับประทานกระเทียมสดพร้อมกับอาหารจะช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ  นอกจากนั้นยังเป็นยารักษาของโรคกระเพาะอาหาร  หรือโรคเกี่ยวกับท้องอื่นๆได้ด้วย
                    
11.ผิวอ่อนวัย  กระเทียมมีสารกระตุ้นคอลาเจนในผิวได้ดี  ทำให้ผิวมีสุขภาพที่ดี  ลดผิวที่มีจุดด่างดำ  ช่วยกระซับรูขุมขน  โดยการนำกระเทียม 5 – 7 กลีบ  ผสมกับมะเขือเทศ 1 ลุก  พอกหน้าครั้งละ 20 – 30 นาที
                   
12.ป้องกันยุงและแมลง  ในนำกระเทียม 2 กลีบ  ผสมน้ำมันยูคาลิปตัส 5 หยด นำมันดอกทานตะวัน 10 หยด  ให้กรองเอาแต่น้ำทางที่ผิวจะทำให้ยุงไม่เข้ามากันเราได้
                   
13.แก้ปวดฟัน  โดยการนำกระเทียมตำผสมกับเกลือมาพอกบริเวณที่ปวดฟัน
                   
14.แก้ผดผื่น  หากมีผื่นขึ้นตามบริเวณต่างๆ  นำก้านกระเทียมที่ติดอยู่ที่หัวมา 1 กำมือ  ผสมกับน้ำอุ่นอาบเพียงครั้งเดียว  จะช่วยรักษาอาการผดผื่นคันขึ้นตามตัวได้
                   
15.แมลงสัตว์กัดต่อย  สามารถแก้พิษของแมลงที่กัดได้โดยการนำกระเทียมถูบริเวณที่โดนกัด
ความเป็นพิษของกระเทียม กระเทียมเองก็มีพิษสำหรับคนที่แพ้จึงมีข้อห้ามใช้กับคนที่แพ้  เพราะใช้แล้วจะทำให้เกิดผื่นขึ้นและมีผลต่อเม็ดเลือดแดงหากกินเข้าไปมาเกินไป
สารสำคัญในกระเทียม

กระเทียมมีสารต่างๆ  จำนวนมากที่มีประโยชน์ต่อการทำไปใช้ในด้านต่างๆ  เช่น
อัลลิซัน ทำหน้าที่ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย  ไวรัสลดอาการอักเสบ
อัลลิอีน เป็นสารที่ใช้ในการสร้างยาปฏิชีวนะได – ซัลไฟล์ ใช้ในการลดคอเลสเตอรอล  และความดัน  ไขมัน  น้ำตาลในร่างกาย
เซเลเนียม ความคุมการทำงานของร่างกาย  ป้องกันโรคหัวใจ
ซัลเฟอร์ รักษาอาการเจ็บปวดตามข้อต่างๆ  และปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง  ผมงอก  จุดด่างดำ
นอกจากนั้นยังมีสารตัวอื่นๆอีกมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและใช้ในการรักษาโรค

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Nopales ผักที่คุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

Nopales ผักที่คุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
Nopales เป็นไม้พื้นเมืองของประเทศเปรู มีปลูกในอเมริกากลาง สหรัฐอเมริกา อินเดียและอินโดนีเซีย เป็นพืชที่แมลงอินจีมาอาศัยอยู่และใช้เลี้ยงแมลงอินจีในเชิงอุตสาหกรรม โดยตัดกิ่งของนิ้วมือผีมาแขวนในร่มและใช้เลี้ยงแมลง แมลงอินจีเป็นแมลงที่ผลิตชาดอินจีหรือชาดลิ้นจี่

เป็นพืชในวงศ์ Cactaceae ลำต้นแบนหนา ด้านบนโค้ง ส่วนโคนต้นเรียวกลม มีหนามเป็นจุดๆ เมื่ออ่อนสีเขียว แก่เป็นสีน้ำตาล ใบเดี่ยว ขนาดเล็ก อวบน้ำ เห็นได้เฉพาะกิ่งที่แตกใหม่ พอแก่ใบจะร่วงหมด ดอกเดี่ยว สีแดงอมส้ม ผลเดี่ยวกลม เนื้อนุ่ม แก่แล้วเป็นสีส้มอมแดง มีเกล็ดคล้ายใบอยู่รอบผล ใช้เป็นไม้ประดับ
Nopales ถือเป็นวัตถุดิบสำคัญในอาหารเม็กซิกันหลายอย่าง โดยทั่วไปแล้วนิยมนำไปทำแยม ต้มซุป และสลัด จากงานวิจัยพบว่ามันมีส่วนช่วยในการกำจัดโรคเบาหวาน มีสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนที่อร่อยที่สุดคือใบที่มันอ่อน ๆ และต้องเอาหนามออกก่อนนำมาปรุงเป็นอาหาร
Nopales


วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2561

มะเขือเทศสีดำต้นแรกในอังกฤษ

มะเขือเทศสีดำต้นแรกในอังกฤษ
มะเขือเทศสีดำนี้ได้ชื่อว่าเป็นมะเขือเทศสีดำต้นแรกในประเทศอังกฤษ
ปลูกโดย MR.Ray Brown เจ้าของศูนย์เพาะพันธุ์พืชในประเทศอังกฤษ เขาได้รับพันธุ์มาจากลูกค้าคนหนึ่งจึงได้ทดลองปลูก ลักษณะของมะเขือเทศข้างนอกจะเป็นสีดำ ส่วนเนื้อข้างในยังเป็นสีแดงเหมือนมะเขือเทศทั่วไป

ในมะเขือนี้มีสารแอนโธไซยานินและสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ ซึ่งเขาได้ทำการเพาะปลูกเพื่อขยายพันธุ์ต่อไป
สำหรับมะเขือเทศสีดำนั้นเชื่อว่าได้รับการพัฒนาขึ้นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา
มะเขือเทศเป็นพืชล้มลุกอายุเพียง 1 ปี ลำต้นตั้งตรง มีลักษณะเป็นพุ่ม ออกดอกเป็นช่อหรือดอกเดี่ยว บริเวณซอกใบ ดอกมีสีเหลือง มีกลีบเลี้ยงสีเขียวประมาณ 5-6 กลีบ 
ผลเป็นผลเดี่ยว มีขนาดรูปร่างและสีต่างกัน ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 3 เซนติเมตร จนถึงใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร รูปร่างมีทั้งกลม กลมแบน หรือกลมรี

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561

กล้วยที่สามารถทานได้ทั้งเปลือก

กล้วยที่สามารถทานได้ทั้งเปลือกโดยฟาร์มในประเทศญี่ปุ่น
D & T Farm ในจังหวัดโอะกะยะมะ ตั้งอยู่ทางใต้ของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนากล้วยที่สามารถทานได้ทั้งเปลือก  โดยถูกตั้งชื่อว่า The Mongee Banana เป็นกล้วยที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจาก DNA กล้วยโบราณ

ทาง D & T Farm ได้ใช้เทคนิคพิเศษ “Freeze Thaw Awakening” ที่เหมือนย้อนไปยุคน้ำแข็งประมาณ 20,000 ปีก่อน เมื่อพืชเติบโตมาจากอุณหภูมิที่หนาวจัด พืชก็จะเติบโตเร็วกว่าปกติ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วกล้วยจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงสามารถออกลูกทานได้ แต่วิธีนี้ทำให้กล้วยโตและออกผลได้ภายในเวลา 4 เดือน
อย่างไรก็ตาม The Mongee Banana สามารถวางจำหน่ายในท้องตลาดได้เพียงสัปดาห์ละ 10 ลูก ทำให้เป็นกล้วยที่มีราคาแพง 
โดยราคาตกลูกละ  648 เยน หรือราว 6 ดอลลาร์สหรัฐ
ลักษณะของกล้วยเมื่อทานพร้อมกับเปลือกจะหวานกว่ากล้วยปกติ

Hollow heart เป็นชื่อเรียกของรอยร้าวที่เกิดขึ้นในเนื้อแตงโม

หัวใจฮอลโลว์ในแตงโม
Hollow heart เป็นชื่อเรียกของรอยร้าวที่เกิดขึ้นในแตงโม ที่มีลักษณะคล้ายกับหัวใจ โดย Gordon Johnson ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ รัฐเดลาแวร์ สหรัฐอเมริกา เผยว่ารอยแตกนี้เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของแตงโม

โดยเปลือกจะมีขนาดใหญ่กว่าเนื้อ
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการผสมเกสร และสภาพอากาศในระหว่างการผสมเกสร โดยแตกร้าวนี้ไม่มีผลกระทบต่อรสชาติของแตงโมสามารถบริโภคได้
แตงโมเป็นพืชในวงศ์เดียวกับแคนตาลูปและฟัก เป็นพืชล้มลุกเป็นเถา อายุสั้น เถาจะเลื้อยไปตามพื้นดิน มีขนอ่อนปกคลุม ผลมีทั้งทรงกลมและทรงกระบอก เปลือกแข็ง มีทั้งสีเขียวและสีเหลือง บางพันธุ์มีลวดลายบนเปลือก 
ในเนื้อมีเมล็ดสีดำแทรกอยู่
แตงโมเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น จะช่วยลดอาการปวด ไข้ คอแห้ง บรรเทาแผลในปาก เปลือกแตงโมนำไปต้มเดือด แล้วเติมน้ำตาลทราย ดื่มเพื่อป้องกันเจ็บคอ กินเป็นผลไม้สด ทำเป็นน้ำผลไม้ เปลือกหรือผลอ่อนใช้ทำอาหาร เช่น แกงส้ม ในเวียดนาม นิยมรับประทานเมล็ดแตงโมในเทศกาลปีใหม่

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561

ต้นปาปิรุส : Egyptian papyrus

ต้นปาปิรุส : Egyptian papyrus
ต้นปาปิรุส : Egyptian papyrus เนื้อต้นไม้ มีลักษณะชุ่มน้ำ และเหนียวมีความสามารถในการตีเป็นเส้นและเชื่อมต่อด้วยยางของมันแอง สมัยโบราณ ชาวอียิปต์ในสมัยโบราณนำมาทำเป็นกระดาษ จะนำมาตากทำเป็นกระดาษและสานเป็นหลังคาบ้านและประดิษฐ์เป็นเครื่องใช้อื่นๆ
เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่งที่เติบโตในพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำไนล์ จัดอยู่ในกลุ่มไม้ล้มลุกหลายฤดู ส่วนของลำต้นอยู่ใต้ดิน ลักษณะภายนอกดูคล้ายกกลังกา แต่จะสูงและใหญ่กว่า ลำต้นตรงและขึ้นเป็นกอ ลำต้นส่วนที่โผล่ขึ้นพ้นผิวดินยาวประมาณ 1.2 – 2.40 เมตร ส่วนปลายของลำต้นมีริ้วรูปร่างกลมยาวออกจากส่วนปลายของลำต้นประมาณ 12 – 24 เซนติเมตร ในหนึ่งต้นมีประมาณ 50 – 100 เส้น ออกดอกเป็นช่อ มีสีน้ำตาลแดง

กระดาษปาปิรุส เป็นกระดาษทำจากลำต้นต้นปาปิรุส เป็นที่มาของ “paper” ซึ่งแปลว่ากระดาษ บางตำราก็ชื่อ ปาปุรอส ปาปุรัส ปาปิรุส หรือ ปาปิรอส กระดาษปาปิรุสมีความยืดหยุ่นและคงต่อสภาพอากาศอันแห้งแล้งของอียิปต์ได้ดี

วิธีการสร้างกระดาษทำโดยการเฉือนต้นปาปิรุสบางๆตามแนวยาวแล้วนำไปตากแดด นำลำเลียงของลำต้นจะทำให้เยื่อไม้ติดกันเป็นแผ่น ส่วนขนาดก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนแผ่นของลำต้น เมื่อเสร็จแล้วก็ม้วนเก็บไว้ได้
ต้นปาปิรุสมีสรรพคุณทางยาต่างๆ เช่นใบและดอก แก้อาเจียน ถ่ายพิษไข้ ยาระบายอ่อน ๆ ลำต้น นำมาตีด้วยไม้ นำน้ำยางมาสมานแผลโดยใช้ หรือนำลำต้นที่ตีเป็นเส้น มาดามกับโคลนเพื่อเป็นการเข้าเฝือก
ปัจจุบันนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ต้นปาปิรุสเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชื้นแฉะ ความต้องการแสงระดับปานกลาง ขยายพันธุ์โดยการแตกหน่อ
Egyptian papyrus

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

คุณตาปลูกดอกไม้จำนวนมากเพื่อให้คุณยายที่มองไม่เห็นได้รับความงดงามจากการดมกลิ่น

คุณตาปลูกดอกไม้จำนวนมากเพื่อให้คุณยายที่มองไม่เห็นได้รับความงดงาม
จากการดมกลิ่น
ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวความน่ารักที่ได้รับการกล่าวถึงในโลกออนไลน์ช่วงนี้ สำหรับเรื่องราวของคุณตา Toshiyuki Kuroki เจ้าของฟาร์มโคนม ที่อาศัยอยู่ใน
ชนบทของประเทศญี่ปุ่น

ภรรยาของคุณตา Kuroki ต้องสูญเสียการมองเห็นเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ทำให้คุณตาต้องหาวิธีที่ทำให้ภรรยาหายเศร้า 
และมีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป
คุณตาหาวิธีทำให้คุณยายมีกำลังใจโดยการปลูกดอกไม้หลายพันต้นในพื้นที่บ้านและใกล้เคียง เพื่อให้คุณยายได้สัมผัสกับความงดงามของดอกไม้ผ่านทางกลิ่น
ปัจจุบันนอกจากคุณยายได้สัมผัสกับความงดงามของดอกไม้ผ่านทางกลิ่นแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากแวะเวียนมาเยี่ยมชมความงดงามของดอกไม้อีกด้วย

Strasberry ผลไม้ที่ถูกดัดแปลงสายพันธุ์

Strasberry ผลไม้ที่ถูกดัดแปลงสายพันธุ์
Mieze Schindler หรือ Strasberry ผลไม้ที่ถูกเรียกชื่อกึ่งกลางระหว่างสตรอว์เบอร์รีและราสเบอร์รี่ มีรูปทรงที่คล้ายกับผลราสเบอร์รี่ ผลไม้ชนิดนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่โดย Otto Schindler ในปี1925 โดยการนำสตรอว์เบอร์รีป่ามาดัดแปลง ผลของ Strasberry นั้นจะมีลักษณะค่อยข้างเล็กแต่มีความหวานสูงและกลิ่นหอมตามแบบสตรอว์เบอร์รี

สตรอว์เบอร์รีเป็นพืชล้มลุก แตกกิ่งก้านแผ่ปกคลุมดิน ใบจะรวมกันอยู่ 3 ใบใน 1 ก้าน ขอบใบมีรอยหยัก มีดอกสีขาว ผลมีก้านยาวเชื่อมกับต้น มีเสี้ยนเล็ก ๆ บาง ๆ กระจายอยู่ทั่วผล มีกลีบเลี้ยงบนขั้วของผล เมื่ออ่อนมีสีขาว เหลือง เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม หรือแดง รสชาติอมเปรี้ยวถึงหวาน ขึ้นอยู่กับผลที่สุก
ราสเบอร์รี่มีต้นกำเนิดมาจากแถบยุโรป ผลสามารถรับประทานได้ซึ่งมีทั้งรสหวานและเปรี้ยว ผลมีสีแดงขนาดเล็กและยังเป็นผลไม้ทางการค้าที่สำคัญ สามารถเจริญเติบโตได้อย่างกว้างขวางทุกสภาพภูมิอากาศทั่วโลกแต่นิยมปลูกกันในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเช่นยุโรปและอเมริกา
Mieze Schindler 

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

The Lonely Tree of Tenere ต้นไม้ที่เคยได้ชื่อว่าโดดเดี่ยวที่สุดในโลก

เหงาแต่ไหน…The Lonely Tree of Tenere ต้นไม้ที่เคยได้ชื่อว่าโดดเดี่ยวที่สุดในโลก
Tree of Ténéré เป็นต้นไม้เพียงต้นเดียวในระยะ 400 กิโลเมตร  อยู่ท่ามกลางทะเลทรายซาฮารา ประเทศไนเจอร์เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลที่อยู่ทางใต้ของทะเลทรายสะฮาราในแอฟริกาตะวันตก

Tree of Ténéré เคยเป็นต้นไม้โดดเดี่ยวที่สุด จนถึงปี 1973 โดนคนขับรถบรรทุกที่เมาเหล้าชน นักวิทยาศาสตร์ได้ขุดลึกลงไป 37 เมตร  จนถึงปลายราก จึงพบความลับของต้นไม้ว่ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันโดดเดี่ยวได้ด้วยแหล่งน้ำใต้ดิน
ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 1973  ทางเจ้าหน้าที่ได้ย้าย Tree of Ténéré ไปยัง Niger National Museum ซึ่งตั้งอยู่ในนีอาเม เมืองหลวงของประเทศไนเจอร์
ส่วนจุดเดิมนั้นมีการสร้างประติมากรรมโลหะของต้นไม้ขึ้นแทนที่

Anogramma ascensionis หนึ่งในพืชที่หายากที่สุดในโลก

Anogramma ascensionis หนึ่งในพืชที่หายากที่สุดในโลก
เฟิร์นพาร์สลีย์ อัสเซนชัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anogramma ascensionis เป็นพืชเฉพาะที่สามารถพบได้บนเกาะอัสเซนชันเป็นเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติก และเป็นดินแดนของสหราชอาณาจักร

เป็นเวลากว่า 50 ที่เชื่อว่ามันเป็นพืชที่ได้สูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว จนกระทั่งปี 2009 นักพฤกษศาสตร์ได้ค้นพบอีกครั้ง 
และนำสปอร์ของมันเพาะพันธุ์ภายในสวนพฤกษศาสตร์รอยัล ประเทศอังกฤษ และคาดว่ามีเฟิร์นพาร์สลีย์ อัสเซนชันจำนวน 40 ต้นที่เติบโตอยู่ในป่าตอนนี้

กุหลาบหิน Crassula Buddha’s Temple

กุหลาบหินที่เติบโตอย่างเป็นระเบียบ
Crassula Buddha’s Temple เป็นสายพันธุ์กุหลาบหินที่นิยมเลี้ยงในปัจจุบัน ต้นของมันสายพันธุ์สูงได้ถึง 15 เซนติเมตร ก่อนจะแตกแขนง 
ดอกของมันนั้นมีทั้งสีแดง สีส้ม สีขาว ซึ่งดอกนั้นจะเกิดขึ้นที่ปลายสุดของลำต้น เป็นพืชที่ดูแลง่าย และแพร่กระจายพันธุ์ได้ง่าย

กุหลาบหิน เป็นไม้ในสกุลที่ส่วนใหญ่เป็นไม้พุ่ม อวบน้ำและมีอายุอยู่ได้นานหลายปี มีถิ่นกำเนิดในมาดากัสกาแอฟริกาและเอเชีย เหมาะที่จะปลูกเป็นไม้กระถาง
กุหลาบหินเป็นพืชที่ปลูกที่ปลูกง่ายทนทาน นิยมปลูกไว้กลางแจ้ง เพราะชอบแดดจัด แต่ถ้านำมาปลูกภายในอาคารก็สามารถปลูกได้ แต่ใบจะมีสีเขียวเข้มและ มักจะไม่ออกดอก จึงควรตั้งไว้ในที่มีแสงอย่างเพียงพอหรือแสงแดดส่องถึง ให้น้ำสัปดาห์ 1-2 ครั้ง
ก็เพียงพอ

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

ทุ่งดอกไม้สีฟ้าดอกเนโมฟีลา ในประเทศญี่ปุ่น

ทุ่งดอกไม้สีฟ้าในประเทศญี่ปุ่น
เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิดอกเนโมฟีลาจำนวนมากในพื้นที่
Hitachi Seaside Parkเป็นสวนดอกไม้ตั้งอยู่บน Kochia Hill เมืองอิบารากิ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมใจกันเบ่งบานจนทำให้เนินเขาบริเวณนี้กลายเป็นสีฟ้าต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้ามาชมความงดงาม

Hitachi Seaside Park เป็นสวนดอกไม้ตั้งอยู่บน Kochia Hill เมืองอิบารากิ ประเทศญี่ปุ่น ครอบคลุมพื้นที่กว่า 190 เฮกเตอร์ พันธุ์ไม้ที่จัดแสดงจะปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ให้สีสันความงามแตกต่างกันไป สวนแห่งนี้จึงเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกตลอดทั้งปี
สำหรับดอกไม้สีฟ้านี้มีชื่อว่าดอกเนโมฟีลา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nemophila  ดอกประกอบด้วยกลีบห้ากลีบ มีสัณฐานดังระฆังหรือถ้วย มีสีม่วง ฟ้า หรือขาว บางทีก็มีแต้มหรือจุด และมีเกสรเพศผู้อยู่ในตัว


Hitachi Seaside Park

การะเกดพันธุ์ไม้หอมที่มีมาแต่โบราณ

การะเกด..ไม่ได้เป็นแค่ออเจ้า…แต่ยังเป็นพันธุ์ไม้หอมที่มีมาแต่โบราณ
การะเกดเป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ต้น สูง 3-7 เมตร  สายพันธุ์ที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับคือสายพันธุ์ที่ใบมีลักษณะด่างเนื่องจากมีคามกงามกว่าสายพันธุ์ที่ใบเขียว ลำต้นมักแตกกิ่งก้านสาขา มีรากอากาศค่อนข้างยาว และใหญ่ ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับกันเป็น 3 เกลียวที่ปลายกิ่ง ขอบมีหนามแข็งยาว 0.2-1 เซนติเมตร

ดอกแยกเพศ อยู่ต่างต้นกัน ออกตามปลายยอด มีจำนวนมาก ติดบนแกนของช่อ ไม่มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอก ช่อดอกเพศผู้ตั้งตรง ยาว 25-60 เซนติเมตร มีกาบสีนวลหุ้ม กลิ่นหอม เกสรเพศผู้ติดรวมอยู่บนก้านซึ่งยาว 0.8-2 เซนติเมตร ช่อดอกเพศเมียค่อนข้างกลม ประกอบด้วยเกสรเพศเมียเชื่อมติดกัน

ผลเบียดกันแน่นเป็นก้อนกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 10-20  เซนติเมตร เมื่อสุกหอม โคนสีเหลือง ตรงกลางสีแสด ตรงปลายยอดสีน้ำตาลอมเหลือง ผลที่สุกแล้วมีโพรงอากาศจำนวนมาก
ลักษณะของดอกการะเกด
สรรพคุณ ดอก การะเกด
ปรุงยาหอม ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ ดอกหอม รับประทาน มีรสขมเล็กน้อย
แก้โรคในอก เช่น เจ็บคอ แก้เสมหะ บำรุงธาตุ
อบกลิ่นเสื้อผ้าให้หอม

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561

พบซากดึกดำบรรพ์คล้ายสาหร่ายแดงอายุ 1,600 ล้านปี

พบซากดึกดำบรรพ์คล้ายสาหร่ายแดงอายุ 1,600 ล้านปี
ซากดึกดำบรรพ์สาหร่ายสีแดงอายุ 1,200 ล้านปีในแถบอาร์กติกแคนาดาได้ถูกทำลายสถิติความเก่าแก่แล้ว เนื่องด้วยนักวิทยาศาสตร์จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ด้านภูมิศาสตร์ชีววิทยาแห่งชาติสวีเดนได้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์มีลักษณะคล้ายสาหร่ายสีแดงในหินตะกอนที่อุดมด้วยแร่ฟอสเฟต ที่เมืองจิตตะกูด อยู่ในภาคกลางของประเทศอินเดีย คาดว่าจะมีอายุมากถึง 1,600 ล้านปี

ซากคล้ายสาหร่ายแดงที่พบมีอยู่ 2 ชนิด คือชนิดที่มีโครงสร้างเซลล์เป็นกระเปาะ ส่วนอีกชนิดมีลักษณะคล้ายเส้นใยซึ่งมีคุณสมบัติสังเคราะห์แสงโดยเปลี่ยนแสงแดดเป็นพลังงานเคมี ทำให้เกิดออกซิเจนในอากาศ สันนิษฐานว่าพวกมันอาศัยอยู่บริเวณที่ตื้นๆของน้ำทะเลร่วมกับคราบแบคทีเรียในธรรมชาติ และอาจอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดได้เช่นกัน นอกจากนี้ซากดังกล่าวยังเป็นหลักฐานการค้นพบเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเก่าแก่อย่าง
ยูแคริโอต (eukaryotes) ที่มีนิวเคลียสและโครงสร้างอื่นๆอยู่ภายในเยื่อหุ้มเซลล์ของพืช เชื้อรา และสัตว์

อย่างไรก็ตาม การค้นพบซากดึกดำบรรพ์คล้ายสาหร่ายแดงอาจช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ประเมินระยะเวลาการเกิดของต้นไม้ต้นแรกของโลกได้ สำหรับสาหร่ายสีแดงนั้นรู้จักกันในชื่อโนริ ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารญี่ปุ่นอย่างซูชิ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวอย่างขบขันว่าโลกของเรานั้นน่าจะมีเมนูซูชิตั้งแต่ 1,600 ล้านปีมาแล้วแน่เลย.

พบฟอสซิลต้นไม้ อายุ 280 ล้านปีที่ขั้วโลกใต้

พบฟอสซิลต้นไม้ อายุ 280 ล้านปีที่ขั้วโลกใต้
เมื่อเร็วๆ นี้นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซินมิลวอกกี ในเมืองมิลวอกกี รัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศการค้นพบซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล (fossil) ต้นไม้อายุ 280 ล้านปี ที่เชื่อว่าจะเป็นหลักฐานสำคัญบ่งชี้ถึงป่าขั้วโลกที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปแอนตาร์กติกา หรือขั้วโลกใต้

ทีมวิจัยพบฟอสซิลของต้นไม้ 13 ต้นมีอายุประมาณ 260 ล้านปี ซึ่งบวกลบความผิดพลาดแม่นยำก็ไม่เกิน 20 ปี นั่นหมายความว่ามีป่าเติบโตขึ้นมาก่อนที่ไดโนเสาร์ตัวแรกจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อสิ้นสุดยุคเพอร์เมียน (Permian) คือยุคสุดท้ายของมหายุคพาเลโอโซอิกเมื่อประมาณ 295-248 ล้านปีก่อน และป่าขั้วโลกโตขึ้นบริเวณละติจูดที่พืชไม่สามารถเติบโตได้ในทุกวันนี้ เป็นไปได้ว่าฟอสซิลพืชดังกล่าวจะเป็นสายพันธุ์ที่ทนทานต่อการอยู่รอดได้ โดยทีมวิจัยกำลังพยายามหาสาเหตุว่าทำไมพืชเหล่านี้จึงสูญพันธุ์

ทั้งนี้ ในยุคเพอร์เมียนนั้น บริเวณทวีปแอนตาร์กติกาจะมีอุณหภูมิอุ่นกว่าปัจจุบันและขณะนั้นแอนตาร์กติกาคือส่วนหนึ่งของทวีปกอนด์วานา ซึ่งเป็นผืนแผ่นดินใหญ่หรือมหาทวีปของซีกโลกใต้ รวมถึงทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ อาระเบีย อินเดีย และออสเตรเลีย นักธรณีวิทยาเชื่อว่ามีพืชจำพวกมอสและเฟิร์นขึ้นเต็มไปทั่วมหาทวีป และการค้นพบฟอสซิลต้นไม้โบราณใหม่ครั้งนี้ จะช่วยในการศึกษาว่าระบบนิเวศของขั้วโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ในช่วงที่มีการสูญพันธุ์อย่างมากเมื่อสิ้นสุดยุคเพอร์เมียนเมื่อ 250 ล้านปีที่แล้ว.

วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

John Medley Woodต้นไม้โดดเดี่ยวที่สุดในโลก

ความเหงาไม่เคยฆ่าใคร!! พบกับ "ต้นไม้โดดเดี่ยวที่สุดในโลก" 
เป็นต้นสุดท้ายของสายพันธุ์
เรื่องราวของต้นไม้ต้นหนึ่ง แต่ว่ามันไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดาทั่วไป มันคือต้นไม้ที่เมื่อนานมาแล้วมันเคยครองโลกใบนี้ แต่ในปัจจุบันมันก็ได้กลายเป็นต้นไม้ต้นสุดท้ายที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลกไปแล้ว ต้นไม้ต้นนั้นก็คือ Encephalartos Woodii หรือเรียกสั้นๆ ว่า E. woodii ซึ่งอยู่ภายใต้ความดูแลของ David Cooke ผู้ดูแลและที่ปรึกษาเกี่ยวกับพืชประเภทปาล์ม มากว่า 20 ปีแล้ว 
มันถูกตั้งชื่อตามนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษนามว่า John Medley Wood ผู้ที่ต้นพบเจ้าต้นไม้ต้นนี้ขึ้นอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ตรงเนินเขาแห่งหนึ่งในแถบชายหาดประเทศแอฟริกาใต้ในปี 1895 ต้นไม้ที่ดูหน้าตาดีแหละแปลกประหลาดก็ได้เตะตาเขา เขาจึงได้พยายามเคลื่อนย้ายมันอย่างระมัดระวังโดยนำขึ้นเรือกลับไปยังเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่สวน Kew Gardens และมันก็ได้อยู่ที่นั่นมากว่า 117 ปีแล้ว แต่ทว่าประวัติของมันไปไกลกว่านั้น

Encephalartos Woodii เป็นพืชที่อยู่ในสกุล Cycad หรือปรง ซึ่งปรงนั้นมีอยู่บนโลกมากว่า 300 ล้านปีแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป พืชสกุลปรงก็ได้เป็นร่มเงาให้กับพวก Triceratop เป็นรังให้กับ Pterodactyl และเป็นอาหารให้กับ Brontosaurus ในช่วงยุคจูราสสิค พืชสกุลปรงได้แพร่พันธุ์จนมีจำนวนถึง 20% ของต้นไม้ทั่วทั้งโลก แต่ช่วงเวลานั้นก็ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ ยุคน้ำแข็งผ่านมาและผ่านไป มีพืชพันธุ์ใหม่ต่างๆ ก็ได้เข้ามาแทนที่จนทำให้ E. Woodii ลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนเหลือแค่มันต้นเดียวที่เหลืออยู่ ถูกค้นพบอย่างโดดเดี่ยวอยู่ข้างเนินเขา
ในช่วงเวลานั้น John Medley Wood ไม่ได้ทราบถึงความหายากของต้นไม้พันธุ์นี้ แต่การเดินทางครั้งแล้วครั้งเล่าของเขาในการค้นหา E. Woodii ต้นอื่นๆ ก็ทำให้เขาได้รู้ว่าเจ้า E. Woodii ที่เขาค้นพบนั้นเหลือเพียงต้นเดียวในโลก E. Woodii เป็นพืชประเภท Dieocious หรือต้นไม่สมบูรณ์เพศ ที่ต้องการต้นเพศผู้กับต้นเพศเมียเพื่อทำให้เกิดต้นใหม่อีกต้นหนึ่ง และต้นที่ถูกค้นพบนั้นเป็นต้นเพศผู้ที่เหงาหงอยอย่างแท้จริง ถ้าหากไม่มีการค้นพบต้นเพศเมีย จะทำให้ E. Woodii ต้นนี้เป็นต้นสุดท้ายของโลก

 ไปชมคลิปวิดีโอของต้นไม้ผู้โดดเดี่ยวต้นนี้กันเลย 




รายการบล็อกของฉัน