ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

นักวิจัยมก. พบพืชใหม่ ช้างงาเอก

นักวิจัยมก. พบพืชใหม่ ‘ช้างงาเอก’
🌼นักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบ “ช้างงาเอก” พืชชนิดใหม่ของโลกเป็นไม้พุ่ม พบอยู่ในแถบภาคอีสานของไทย ชาวบ้านนิยมใช้รากไปดองเหล้าทำเป็นยาสมุนไพร เชื่อมีคุณสมบัติเพิ่มพละกำลัง จนเหลือเพียงน้อยนิดในธรรมชาติ หวั่นใกล้สูญพันธุ์

การค้นพบพืชพันธุ์ใหม่ของโลก เปิดเผยเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. โดย ผศ.ดร.ฉัตรชัย เงินแสงสรวย อาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า จากการออกสำรวจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถบ จ.บึงกาฬ และนครพนม ได้ค้นพบ “ช้างงาเอก” พืชชนิดใหม่ของโลกที่ยังไม่เคยมีการจดบันทึกไว้ในวารสารด้านพันธพฤกษศาสตร์

โดยพบอยู่บริเวณป่าดิบแล้งและชายป่าดิบแล้งสูง จากระดับน้ำทะเล 150-220 ม. ซึ่งพืชชนิดนี้มักจะออกดอกเดือนธันวาคม ก่อนจะพัฒนาการกลายเป็นผลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเมษายน ส่วนในต่างประเทศเคยพบได้เฉพาะที่ สปป.ลาว

ผศ.ดร.ฉัตรชัยเผยว่า “ช้างงาเอก” ที่พบครั้งนี้ เป็นพืชเป็นไม้พุ่มสูง 1-2 ม. เปลือกเรียบ เมื่ออ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาลเข้ม ส่วนต่างๆ มียางสีขาว แล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน ส่วนดอกจะแยกเพศผู้ เพศเมียต่างต้นกัน ช่อดอกแบบกระจุกสั้น ออกตามซอกใบที่ปลายกิ่ง หรือตามซอกใบที่ใบร่วงแล้ว 
ดอกตูมมีกลีบเลี้ยงสีชมพูอมสีเหลืองอ่อน และเมื่อดอกบานจะมีสีเหลืองอ่อน หรือสีนวล ส่วนผลมีเนื้อหนึ่งถึงหลายเมล็ด รูปทรงกลมแป้น เส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 ซม. ยาว 5-7 มม. มี 4-6 พู เห็นชัด ขณะที่ผลยังดิบจะมีสีเขียว จุดขาว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีแดง ผิวเกลี้ยงเป็นมัน มีกลีบเลี้ยงติดทน

ผศ.ดร.ฉัตรชัยกล่าวอีกว่า ช้างงาเอกจะกระจายพันธ์ุทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชาวบ้านที่รู้จัก งาช้างเอกมักจะใช้รากเป็นพืชสมุนไพร นำไปดองเหล้า มีความเชื่อว่าเป็นยาบำรุงกำลัง จึงกลายเป็นสาเหตุทำให้พืชชนิดนี้มีปริมาณในธรรมชาติลดลง จึงทำให้จัดอยู่ในสถานภาพพืชที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์

วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ต้นสนเควกกิงแอสเพน ป่าแห่งชาติฟิชเลก

ต้นสนเควกกิงแอสเพน, 
ป่าแห่งชาติฟิชเลก, ยูทาห์
🌲สนแพนโดโคลน (Pando clone) ซึ่งประกอบด้วยต้นสน 47,000 ต้น ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 270 ไร่ นี่ถือเป็นสิ่งมีชีวิตเดี่ยว ที่อาจถือกำเนิดขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน จากเมล็ดพันธุ์สนเควกกิงแอสเพนเมล็ดเดียว 

และแพร่พันธุ์ด้วยการแตกหน่อ จากระบบรากที่ขยายตัวต่อเนื่อง แต่ละลำต้นมีเอกลักษณ์ทางพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ และมีอายุไม่เกิน 150 ปี แต่ระบบรากอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่อายุยืนที่สุดในโลก

ทุกวันนี้ ต้นเอล์มสูงกว่า 12 เมตร มีเรือนยอดแผ่กว้างถึง 18 เมตร พอย่างเข้าเดือนพฤศจิกายน ใบสีทองก็ร่วงจวนหมดสิ้น ก่อนเหลือเพียงลำต้นและกิ่งก้านในเดือนมกราคม เมื่อเดือนเมษายนมาถึงจึงเริ่มแตกใบอ่อน 
และในเดือนมิถุนายน ต้นเอล์มก็อวดใบเขียวเต็มต้นพร้อมสำหรับฤดูร้อนอีกครั้ง
“ราวกับว่าต้นเอล์มมุ่งมั่นที่จะอยู่รอดครับ” มาร์ก เบย์ส เจ้าหน้าที่ป่าไม้ประจำเมือง ผู้ช่วยฟื้นฟูและดูแลต้นเอล์มต้นนี้ กล่าว 
“มันเข้าใจดี ขณะที่พวกเราไม่มีใครเข้าใจ ว่ามันจะต้องยืนหยัดต่อไป”

ต้นเบาบับในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียต้นนี้เป็นที่รู้จักในนามต้นไม้คุกแห่งดาร์บี

ต้นเบาบับในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย
🌲ต้นนี้เป็นที่รู้จักในนามต้นไม้คุกแห่งดาร์บี ทว่าคริสติน ฮาร์แมน นักประวัติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแทสเมเนีย และเอลิซาเบท แกรนต์ นักมานุษยวิทยาสถาปัตย์ จากมหาวิทยาลัยแอดิเลด เห็นว่าผิดถนัด
แม้จะเล่าลือกันว่า ต้นไม้นี้เป็นที่คุมขังหรือพื้นที่กักกันนักโทษชาวอะบอริจินระหว่างขนย้ายไปดาร์บี ทั้งฮาร์แมนและแกรนต์แย้งว่า เรื่องเล่าดังกล่าวเป็น “ความจงใจที่จะนำเสนอต้นเบาบับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ชัยชนะที่นักล่าอาณานิคมมีเหนือชาวอะบอริจิน”

หากด้านมืดของความเป็นมนุษย์ถือกำเนิดจากใต้ต้นไม้ ก็คงเหมาะสมแล้วที่ร่มไม้เขียวขจีช่วยปลอบประโลมใจ ดังเช่นต้นเอล์มอเมริกันต้นหนึ่งในเมืองโอกลาโฮมาซิตี้ 
เมื่อวันที่ 9 เมษายน ปี 1995 เหตุระเบิดที่วางแผนและก่อการโดย ทิโมที แมกเว ทหารผ่านศึกผู้ต่อต้านรัฐบาล ถล่มอาคารอัลเฟรด พี. เมอร์ราห์ สูงเก้าชั้น ของรัฐบาลกลางในย่านใจกลางเมือง และคร่าชีวิตผู้คน 168 คน

แรงระเบิดเผาไหม้ลำต้น ทำให้ใบร่วงหล่นจนหมดสิ้น พร้อมฝังสะเก็ดและเศษซากลงในเนื้อไม้ของต้นเอล์มสูง 10 เมตร ที่เติบโตในลานจอดรถใกล้เคียง ทุกวันนี้ “ต้นไม้ผู้รอดชีวิต” ไม่เพียงเป็นจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานแห่งชาติโอกลาโฮมาซิตี้  
แต่ยังช่วยปลอบประโลมใจคนอย่างดอริส โจนส์ ผู้สูญเสียแคร์รี แอนน์ เลนซ์ ลูกสาววัย 26 ปี ที่กำลังตั้งครรภ์ไปในเหตุระเบิดครั้งนั้น เธอบอกว่า 
“ฉันรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้เห็นต้นเอล์มค่ะ มันเป็นสิ่งดีๆ ที่รอดพ้นเหตุการณ์เลวร้ายมาได้”

วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ฟักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก

🍀กินได้ทั้งตำบล! ฟักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ลูกเดียวหนัก 1,190.5 กิโลกรัม
กลับมาพบกันอีกครั้งกับเรื่องราวของความเป็นที่สุดในโลกของเราในวันนี้ครับ ยังคงมีเรื่องราวที่น่าสนใจจากทั่วทุกมุมโลกมาให้ได้ติดตามกันตลอดเช่นเคยครับ วันนี้เราจะพาไปชมฟักทองลูกใหญ่ ที่กินได้ทั้งตำบลกัน ใหญ่จริงใหญ่มาก ลูกเดียวหนักเป็นตันเลย อะไรจะขนาดนั้น

ช่วงปลายสัปดาห์ก่อนได้มีการพูดฟักทองยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ ปลูกโดยพี่น้องฝาแฝดจากเมืองแฮมป์เชอร์ ประเทศอังกฤษ
Stuart และ Ian Paton โดยฟักทองของคู่แฝดรายนี้ มีน้ำหนักมาถึง  2,269 ปอนด์  หรือราว 1,029 กิโลกรัม  หรือตันนิดๆ จาการดูแลเป็นอย่างดี ลูกนี้ใหญ่จริงๆ ครับ 
แต่นั้นก็ยังไม่ที่สุด เพราะว่า ฟักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก นั้นเป็นของ
Mathias Willemijns 
จากประเทศเบลเยียมซึ่งชนะเลิศการประกวด ลูกฟักทองยักษ์ ในงาน Giant Pumpkin European Championship  
เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา โดยฟักทองของเขามีน้ำหนักมาถึง  1,190.5 กิโลกรัมเลยทีเดียว แน่อนนว่ามันใหญ่และหนักที่สุดในโลก
เห็นลูกใหญ่ๆ แบบนี้ไม่รู้ว่ารสชาติของมันจะเป็นยังไงน่ะครับ แต่ถ้ากินกันจริงๆ ก็คงอิ่มไปทั้งตำบลแน่นอน
 
ที่มา : pumpkinfanatic.,

ปลูกกล้วยสารพัดกลิ่น เพียงเจาะต้นเติมกลิ่น

่ทำได้จริงหรือ! ปลูกกล้วยสารพัดกลิ่น 
เพียงเจาะต้นเติมกลิ่น
🔎จากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับการทำให้กล้วยมีกลิ่นอื่นๆ เพิ่มเติมได้ เป็นที่ฮือฮากันไปทั่ว ซึ่งหลายคนนั้นให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เรียกว่าแชร์กันสนัน่เลยทีเดียว

โดยวิธีการดังกล่าวเรียกว่า การปลูกกล้วยสารพัดกลิ่น ซึ่งเป็นข้อมูลวิีการที่ถูกแชร์ไว้ยนเฟชบุ๊คส่วนตัวของคุณ “หมอเกษตรและเทคโนโลยี เพื่อคนไทยทั้งแผ่นดิน” ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2013 ที่ผ่านมา และได้ถูกนำมาเผยแพร่เมื่อช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจนเป็นที่สนใจของบรรดาชาวเกษตรออนไลน์ทุกคน
🔎วิธีการปลูกกล้วยให้มีสารพัดกลิ่นนั้น ทางด้านของคุณหมอเกษตรและเทคโนโลยี เพื่อคนไทยทั้งแผ่นดิน ได้บอกไว้ดังนี้ครับ
การเติ่มกลิ่นเพื่อเพิ่มมูลค่าของกล้วย ทำได้ทั้งกลิ่นทุเรียน สตรอเบอรี่ วานิลลา ชอกโกแลต หรือกลิ่นอื่นๆ ตามใจชอบ โดยปกติกล้วยธรรมดาขายได้หวีละ  10 บาท แต่เมื่อได้รับการแต่กลิ่นจะขายได้หวีละ 45 บาท เลยทีเดียว

🍁ขั้นตอนการทำก็เพียงแค่
1. ไปหาซื้อหัวเชื้อเข้มข้นและกลิ่นต่างๆ ขวดละประมาณ 10 กว่าบาท
2. ในตอนที่กล้วยกำลังออกปลี ให้ทำการเจาะรูปลำต้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมจนถึงไส้ใน
3. นำเอาสำลีชุบหัวเชื้อเข้มข้นและกลิ่นต่างๆที่เราต้องการยัดเข้าไปข้างต้นกล้วย จากนั้นปิดไส้ต้นกล้วยให้เหมือนเดิม

🍀จากนั้นรอเวลาอีกประมาณ 2 เดือนกล้วยก็จะเริ่มสุกและจะได้กล้วยตามกลิ่นที่เราใส่เข้าไป เคล็ดลับที่จะทำให้ได้ผลดีเยี่ยมคือต้องทำตอนที่กล้วยแทงปลีออกมาใหม่ๆ และยังไม่แตกเป็นเครือ ให้ลองตัดต้นกล้วยทิ้งไว้ซักคืน ต้นกล้วยจะงอกออกมาเร็วมาก และไม่เกินสองเดือน จะได้กล้วยกลิ่นแปลกกว่าเดิม
จากวิธีการและรูปภาพดังกล่าวหลายคนนั้นฮือฮาและตื่นเต้นกันมาก และอยากจะไปทดลองทำกันกับต้นกล้วยที่บ้าน 

ซึ่งยังไม่มีใครออกมายืนยันว่าวิธีการดังกล่าวได้ผลจริงหรือไม่ บางคนนั้นบอกว่า มันไม่มีสารตัวไหนที่สเถียนแล้ว ส่งไปหาผลกล้วยได้ บ้างก็บอกว่ามันจะทำให้เกิดสารตกค้างหรือเปล่า แต่หลายๆคนนั้นก็บอกว่าเป็นวิธีการที่ดี
สุดท้ายนี้จะจริงเท็จอย่างไร มันทำได้จริงหรือไม่ ก็คงต้องไปทดลองทำกันดูที่บ้านแล้วหล่ะครับ ผู้เขียนเองก็ขอตัวไปเจาะต้นกล้วยก่อนละกัน เผื่อจะได้กล้วยกลิ่นวนิลาบ้างครับ

ข้อมูลจาก : หมอเกษตร

ปลูกชะอม! พืชใกล้ตัวแตกยอดทั้งปี สร้างรายได้ให้ครัวเรือน

ปลูกชะอม! พืชใกล้ตัวแตกยอดทั้งปี สร้างรายได้ให้ครัวเรือน
🌲สวัสดีพี่น้องสมาชิกทุกท่านวันนี้ก็มีบทความเกี่ยวกับการเกษตรมาฝากกันอีกแล้วหลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยแนะนำเรื่องของการเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อพลาสติกไปแล้วหลายคนให้ความสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว วันนี้เลยจะมาแนะนำเกี่ยวกับพืชผักสวนครัวกันบ้างครับผม

หากพูดถึงชะอมหลายคนคงจะรู้จักและคุ้นเคยกันดีเพราะเป็นพืชผักที่เราบริโภคกันมาตั้งแต่เด็กๆ มีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ยอดไม้ที่มีกลิ่นฉุนรสชาติอร่อยทำอาหารได้หลากหลายชนิด เป็นที่นิยมบริโภคกันทุกเพศทุกวัย แถมยังมีประโยชน์ มีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอสูงกว่าแครอทของฝรั่งที่เชื่อกันว่ามีวิตามินเอสูงที่สุดในบรรดาผักอีกด้วยครับ
แล้วทำไมถึงมาชวนทุกท่านปลูกชะอม นั่นก็เพราะว่าชะอมเป็นพืชใกล้ตัว ผู้คนนิยมบริโภคกันทุกวัน แถมบางคนยังมองข้ามการปลูกชะอมไป 
เพราะคิดว่าเป็นพืชที่ใครๆ ก็ปลูกกันคงจะขายไม่ได้ แต่จริงๆแล้วความต้องการบริโภคชะอมนั้น มีอยู่มากมายทุกวัน สังเกตได้จากช่วงที่ชะอมขาดตลาดราคาจะพุ่งสูงขึ้นมาก เดินหาซื้อกันแทบจะไม่ได้ในตลาดสดเลยละครับ

ดังนั้นเราจึงจะมาฉวยโอกาสที่คนอื่นคิดว่าชะอมเป็นพืชไม่น่าปลูก ถือเป็นการลดคู่แข่งลงไป เราก็มาปลูกเพื่อบริโภคและจำหน่ายกันเลยครับ

แต่ก่อนที่เราจะปลูกชะอมต้องมาทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้กันก่อนครับ
🌲ชะอมเป็นไม้ทรงพุ่ม แต่ก็สามารถแตกกิ่งก้านเลื้อยได้ยาวและสูง เป็นพืชจำพวกอาเคเซีย  มีอายุยาวนาน ใบและกิ่งอ่อน ยอดอ่อน มีสีเขียวและมีกลิ่นฉุน บางพื้นที่ที่เรียกว่า ผักขะ ผักหละ ผักขา ผักเน่า สายพันธุ์ของชะอมนั้นไม่เป็นที่ปรากฎแน่นอน 

🌳บ้างก็ว่ามี 3 สายพันธุื ได้แก่ ชะอมป่า ชะอมเด็ดยอด และชมอมไร้หนามซึ่งเป็นชะอมกลายพันธุ์  
🌿บ้างก็ว่ามี 2 สายพันธุ์ แบ่งเป็นชะอม พันธุ์เบามีลำต้นขนาดเล็กใบเล็ก ยอดเล็กด้วย และชะอมพันธุ์หนัก ชะอมชนิดนี้มีลำต้นขนาดใหญ่ ใบใหญ่และส่วนยอดมีขนาดใหญ่มาก เป็นที่นิยมปลูกเพราะสามารถเก็บยอดได้ตลอดทั้งปี  เอาเป็นว่าท่านสะดวกหากิ่งพันธุ์ชะอมได้ใกล้บ้านที่ไหนก็เอาไปปลูกเลยครับ  พันธุ์ที่อยู่ตามบ้านเราทั่วไปก็แตกยอดดีตลอดทั้งปีอยู่แล้ว

🔜วิธีการปลูกชะอม
ในส่วนของวิธีการปลูกหรือการขยายพันธุ์นั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธีหลักๆ แบ่งเป็นการใช้เมล็ดและการใช้กิ่งตอนหรือกิ่งปักชำในการปลูกครับ

ซึ่งวิธีการปลูกนี้สามารถทำได้ทั้งสองวิธีแต่ที่จะสะดวกที่สุดคงจะเป็นการใช้กิ่งตอนหรือกิ่งปักชำเพราะสามารถทำได้สะดวกและหากิ่งพันธุ์ได้ง่าย

การเตรียมการปลูกและขยายพันธุ์ชะอม
เกษตรกรสามารถเตรียมพื้นที่ในการปลูกชะอมได้ทั้งแบบยกแปลงหรือยกร่องเหมือนกับแปลงผักทั่วไป หรือจะปลูกไว้เป็นรั้วรอบบ้าน หรือจะปลูกรวมกับพืชผักส่วนครัวอื่นๆ ก็ได้ เอาให้สะดวกกับพื้นที่ของท่านก็แล้วกัน แต่อย่าให้น้ำขาดแคลนก็พอครับ

🔜เตรียมกิ่งพันธุ์ชะอมที่สมบูรณ์ เป็นกิ่งที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป ขนาดความยาวประมาณ 1 คืบควรให้มีตาติดมาด้วยประมาณ 3 ถึง 4 ตา นำไปปักชำไว้ในถุงดินรดน้ำให้ชุ่มประมาณ 50 ถึง 60 วันชะอมก็จะแตกรากพร้อมที่จะนำไปปลูกได้

🔜การปลูกให้เว้นระยะห่างระหว่างแถวของต้นชะอมประมาณ 1 × 1 เมตรแต่ข้อมูลจากหลายแหล่งนั้นบอกว่าถ้ายิ่งปลูกชะอมถี่ จะยิ่งได้ยอดเยอะเพราะมันจะแข่งกันขึ้นหาแสง ดังนั้นให้ท่านปลูกชิดๆ กัน แต่ขอให้เดินเข้าไปเก็บยอดได้ก็พอครับ

🔜ส่วนการดูแลนั้นไม่มีอะไรมากมายแค่หมั่นรดน้ำวันละครั้งหรือเช้าเย็นก็ได้ เพราะชะอมเป็นพืชที่ทนทานอยู่แล้วใส่ปุ๋ยบ้างตามที่เราสะดวก อาจจะเป็นปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยเคมีก็แล้วแต่ท่านจะหาได้ก็แล้วกันครับ แต่อย่าใส่มากจนเกินไป ช่วงที่ปลูกแรกๆ อาจจะยังไม่ต้องใส่ปุ๋ยก็ได้

🔜เมื่อต้นชะอม มีอายุ 3-4 เดือนก็สามารถเก็บยอดได้แล้วโดยเราสามารถเก็บยอดชะอม ได้ทุกๆ 3 ถึง 4 วันเพราะชะอมนั้นหากถูกเด็ดยอดจะแตกออกมาเรื่อยๆ แบบว่ายิ่งเด็ดยิ่งแตกอิอิ

เมื่อชะอมโตเต็มที่แล้วเราควรให้ปุ๋ยและน้ำสม่ำเมสอ ในหน้าแล้งควรให้น้ำอย่างเพียงพอ เพื่อให้ชะอมแตกยอดได้ ส่วนหน้าฝนนั้นไม่จำเป็นต้องให้น้ำเลย ส่วนในหน้าหนาวนั้นจะเป็นช่วงที่ชะอมแตกยอดน้อยที่สุด ช่วงนี้ให้ทำการตัดแต่งกิ่งรูดใบออกและใช้ปุ๋ยและน้ำบำรุงเพิ่มเข้าไปเยอะๆ จะทำให้ชะอมแตกยอดออกมาได้พอสมควร เป็นวิธีการทำให้ชะอมแตกยอดทั้งปีครับ
ชะอมชุบไข่
เราควรตัดแต่งกิ่งชะอมอยู่เสมอ ไม่ให้ต้นสูงจนเกินไปหรืออาจจะนำกิ่งที่โตออกมาไปขยายพันธุ์ต่อก็ได้ครับ

🌱ชะอมเป็นพืชที่ปลูกได้ง่าย ดูแลง่าย แตกยอดตลอดทั้งปี น่าสนใจและน่าปลูกใช่ไหมครับส่วนศัตรูของชะอมนั้นก็จะมีพวกหนอนคืบ และพวกมดแดงไฟให้เราหมั่นสังเกตถ้ามีหนอน หรือมดแดงไฟก็ให้ทำการกำจัดทันที
ชะอมเป็นพืชที่สร้างรายได้อย่างงดงาม หลายคนนั้นอาจจะมองข้าม ถ้าเราปลูกแบบวิถีพอเพียงก็เก็บยอดมัดรวมเป็นกำๆ 
นำไปขายที่ตลาดหรือในหมู่บ้าน กำละ 20 บาท~ 25 บาทก็ว่ากันไป ส่วนในหน้าที่ชะอมขาดแคลนตลาด หากเราสามารถทำให้ชมแต่ยอดและเก็บไปขายได้ ก็จะได้ราคาที่สูงขึ้น 2 ถึง 3 เท่าตัวเลยทีเดียวครับ ถ้าปลูกชะอมไว้ จะสามารถเก็บขายได้ตลอด ส่วนจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่เราปลูกครับ
หรือจะนำไปดัดแปลงไปอาหารเพื่อเพิ่มมูลค่าก็ได้ อย่างเช่นชะอมทอดที่เอาไว้กินกับน้ำพริกกะปิยังไงละครับ ทอดขายหน้าบ้านเลยก็ได้
🔜ข้อมูลจากไร่ธัญบูรณ์ในอินเตอร์เน็ตนั้นบอกว่าปลูกชะอม 1 ไร่สามารถสร้างรายได้มากถึง 12,000 – 15,000 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว มันไม่ธรรมดาเลยน่ะเนี้ย!!!!!
งานนี้นับว่าน่าสนใจไม่น้อยเลย ใครที่กำลังมองหาอาชีพเสริมด้านเกษตรกรรมก็ไปทดลองปลูกกันได้เลยครับ เอาแค่พื้นที่เล็กๆก่อนก็ได้เพื่อศึกษาให้มีความรู้ แล้วค่อยขยายพื้นที่การปลูกให้ใหญ่ขึ้นจะได้มีราย
ได้มากขึ้น
อาชีพทุกๆ อย่างเราสามารถสร้างมูลค่าได้ อย่ามองข้ามเพียงแค่มันใกล้ตัว หรือว่าใครๆ ก็ทำไปแล้ว ถ้าคิดอย่างนั้นเราก็คงจะไม่ได้ทำอาชีพอะไรซักอย่างกันพอดีครับ

ต้นกล้วยยักษ์ใบใหญ่ที่สุดในโลกGIANT BANANA LEAVES

GIANT BANANA LEAVES! ต้นกล้วยยักษ์ใบใหญ่ที่สุดในโลก
🌸กลับมาพบกันอีกครั้งกับเรื่องราวของความเป็นที่สุดในโลกของเราในวันนี้ครับ ยังคงสืบเสาะค้นหาเอาข้อมูลความรู้และเรื่องราวที่น่าสนใจจากทั่วทุกมุมโลกมาฝากกันเช่นเคย สำหรับวันนี้เราจะพาไปชมความอัศจรรย์ของธรรมชาติกับพืชพรรณใกล้ตัวเราอย่างกล้วย ที่มันมีขนาดใหญ่ยักษ์จนไม่น่าเชื่อว่ามันจะใหญ่ได้ขนาดนี้

ถึงแม้ว่าาข้อมูลที่ผมนำมาฝากทุกคนในวันนี้จะยังไม่ได้รับการยืนยัน ไม่มีการบันทึกสถิติ และไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมใดๆ เกี่ยวกับต้นกล้วยที่เห็นในภาพนี้ก็ตามที แต่ก็น่าจะฟันธงได้ว่านี่คือ ต้นกล้วยที่มีใบใหญ่ที่สุดในโลก และน่าจะเป็นต้นกล้วยที่สูงที่สุดในโลก ด้วยครับ  จากขนาดที่เราดูจากภาพแล้วใบของกล้วยชนิดนี้น่าจะมีความยาวไม่ต่ำกว่า 2.5-3 เมตรแน่นอนครับ ส่วนลำต้นนั้นไม่ต้องพูดถึงต้องถึงกับตอกลิ่มขึ้นไปตัดก้านใบกันเลยทีเดียว
ใหญ่แค่ไหนดูกันเองเลย 
ต้นกล้วยชนิดนี้ขึ้นอยู่ท่ามกลางป่าบริเวณภูเขาไฟ Bosavi  ประเทศปาปัวนิวกินี ซึ่งเป็นถิ่นที่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมืองชื่อว่า Danseurs Kalu ซึ่งอาศัยอยู่ในแถบนี้ 
โดยเผ่าพื้นเมืองนั้นจะนำเอาใบกล้วยหรือใบตองยักษ์นี้ไปมุงหลังคาที่พัก หรือพื้นที่สำหรับพักแรมล่าสัตว์ ซึ่งหลังคาใบกล้วยที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้สามารถอยู่นาน 4-5 วัน และน่าจะมีการตัดมาเปลี่ยนหากใบกล้วยของเดิมหมดสภาพครับ
ใช้มุงเป็นหลังคา 
จากข้อมูลที่ได้มากนั้น ป่าในพื้นที่ของภูเขาไฟ Bosavi  ประเทศปาปัวนิวกินี แห่งนี้มีระบบนิเวศวิทยาเฉพาะพื้นที่ ซึ่งเป็นเขตป่าที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปบริเวณปล่องภูเขาไฟ เป็นป่าเก่าแก่ ที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลังจากการระเบิดเมื่อ 200,000 ปี ที่แล้วของภูเขาไฟแห่งนี้ นอกจากนี้บนพื้นที่ดังกล่าวยังพบกบที่เคยหายไปจากโลกมากถึง 16 ชนิด  รวมไปถึงปลา แมลงและนกต่างๆ อีกหลายชนิดด้วยกัน รวมไปถึงค้างคาวยักษ์ และหนูยักษ์ ด้วย
และด้วยระบบนิเวศวิทยาเฉพาะพื้นที่แบบนี้นี่เองที่อาจจะเป็นสาเหตุทำให้มีต้นกล้วยขนาดใหญ่นยักษ์แบบนี้ครับ เห็นแล้วอยากเดินทางไปปาปัวนิวกินีเพื่อสัมผัสกับต้นกล้วยชนิดนี้ด้วยตัวเองจริงๆ เลย ถ้าเอามาปลูกบ้านเรา ต้นกล้วยยักษ์ใบใหญ่ที่สุดในโลก ต้นนี้น่าจะสร้างรายได้อย่างงามให้กับเกษตรกรบ้านเราอย่างแน่นอน

วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หญ้าไฟตะกาด shield sundew


หญ้าไฟตะกาด (อังกฤษ: shield sundew) เป็นพืชในสกุลหยาดน้ำค้างที่มีหัวใต้ดิน มีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้าง ชื่อในภาษาละติน peltata แปลว่า รูปโล่ ซึ่งหมายถึงรูชชปทรงของก้านใบ

โดยทั่วไปหยาดน้ำค้างชนิดมีหัวใต้ดินส่วนมากจะเป็นใบกระจุกแนบดิน แต่หญ้าไฟตะกาดลำต้นจะตั้งขึ้น ช่อดอกเป็นกิ่งแขนง
หญ้าไฟตะกาดยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆอีกดังนี้: หยาดน้ำค้าง (เลย) ปัดน้ำ (ตะวันออกเฉียงเหนือ,เลย)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ดอกของหญ้าไฟตะกาด
หญ้าไฟตะกาดเป็นพืชล้มลุกมีลำต้น สูงได้ถึง 35 ซม. มีหัวใต้ดินขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 1 ซม. ไม่มีหูใบ ใบที่โคนหลุดร่วงง่าย ใบตามลำต้นแบบก้นปิดรูปสามเหลี่ยม เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.3-0.6 ซม. 

ช่อดอกตั้งตรง ไม่แตกแยกแขนง กลีบเลี้ยงรูปไข่แกมรูปรี ยาว 0.2-0.3 ซม. ขอบเป็นชายครุย กลีบดอกรูปไข่กลับ ยาว 0.5-0.6 ซม. สีขาว ก้านดอกยาว 1-2 ซม. เกสรเพศผู้มี 5 อัน แยกกัน ยาว 0.3-0.4 ซม. อับเรณูรูปทรงกลม เกสรเพศเมียมี 3 อัน แยกเป็นหลายแฉก แคปซูลมี 3 ซีก รูปขอบขนานเกือบกลม เส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณ 3 มม.

ถิ่นอาศัยและการกระจายพันธุ์แก้ไข
หญ้าไฟตะกาดปกติจะขึ้นบนพื้นราบ มีพุ่มไม้เล็กน้อย บนดินเลน หรือดินทราย อย่างบริเวณหญ้าริมถนนที่ตัดผ่านป่า เป็นต้น หญ้าไฟตะกาดมีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง พบในทางตอนใต้และตะวันออกของประเทศออสเตรเลีย, รัฐแทสเมเนีย, ประเทศนิวซีแลนด์, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย

ในไทยพบทุกภาคขึ้นตามที่ชื้นแฉะ ที่โล่งและดินที่ไม่สมบูรณ์

หมอกบ่วาย หรือ จอกบ่วาย พืชกินแมลง


จอกบ่วาย เป็นพืชกินสัตว์ขนาดเล็กอยู่ในสกุลหยาดน้ำค้างเป็นพืชฤดูเดียว มีลักษณะลำต้นแนบไปกับพื้น ใบเป็นแผ่นมนรี ค่อนข้างหนา ลักษณะคล้ายช้อน เรียงกันเป็นรูปวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 ถึง 3 ซม. มีขน จอกบ่วายเป็นหยาดน้ำค้างที่มีกับดักแบบเร็ว เมื่อดักจับแมลงได้ใบจะโอบล้อมแมลงในสองสามวินาที ขณะที่ชนิดอื่นใช้เวลาเป็นนาทีหรือชั่วโมง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
จอกบ่วายมีลำต้นจะแนบอยู่กับพื้นดิน ใบเป็นกระจุกแบบกุหลาบซ้อนหนาแน่นที่โคนแนบชิดติดดิน เส้นผ่าศูนย์กลาง ตั้งแต่ 1.5 - 3 ซม. แผ่นใบเป็นแผ่นมนรีรูปไข่กลับหรือทรงกลม ค่อนข้างหนา กว้างประมาณ 0.5-0.8 ซม. ยาวประมาณ 0.6-1.5 ซม.[1] ที่ใบจะมีขนเล็กๆเป็นจำนวนมาก มีสีแดงเรื่อถึงแดง ปลายขนจะมีเมือกใสเกาะอยู่ คล้ายกับหยาดน้ำค้าง ดอกดอกออกใจกลางต้น ตั้งตรง ช่อดอกสูง 5 -15 ซม. กลีบดอกมีสีขาว
การกระจายพันธุ์
จอกบ่วายมีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง พบในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ศรีลังกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ส่วนใหญ่ในประเทศไทยพบทุกภาคขึ้นตามที่ชื้นแฉะ ที่โล่งและดินที่ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามภูเขาหินทราย

ประโยชน์
ในยาพื้นบ้านอีสาน ใช้จอกบ่วายทั้งต้นแห้ง ดองเหล้าดื่ม แก้ท้องมาน ทั้งต้นสด ขยี้ทาแก้กลากเกลื้อน ในตำรายาไทย ใช้ ทั้งต้น แก้บิด ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ไข้มาลาเรีย ตามตำรายาของฮินดูจอกบ่วายมีคุณสมบัติทำให้ผิวหนังแดงจากการที่เลือดคั่ง

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ผืนป่าสุดสยองฟรีทาวน์แห่งรัฐแมสซาชูเซตส์


ผืนป่าสุดสยอง! ‘ฟรีทาวน์’ แห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ พื้นที่สุดลึกลับที่เต็มไปด้วยเรื่องราวเหนือธรรมชาต

เมื่อพูดถึงป่าไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตามหลายคนก็คงจะคาดหวังที่จะได้พบกับธรรมชาติที่แสนสวยงาม ณ ป่านั้นๆเสมอ แต่ความงดงามและความอุดมสมบูรณ์อาจไม่ใช่สำหรับ “ป่าฟรีทาวน์” ที่ตั้งอยู่ในรัฐแมสซาชูเซตส์ เพราะนอกจากที่นี่จะมีธรรมชาติแล้ว หลายคนยังเชื่อว่าป่าฟรีทาวน์เป็นสถานที่อยู่อาศัยของสิ่งเร้นลับ และมักจะเกิดเรื่องราวเหนือธรรมชาติในป่าแห่งนี้อยู่เป็นประจำ ส่วนสาเหตุที่หลายคนเชื่อเช่นนั้นก็เพราะ ป่าฟรีทาวน์อยู่ในตำแหน่งของ สามเหลี่ยมบริดจ์วอเตอร์ (Bridgewater Triangle) ว่ากันว่าใครที่เข้าไปในป่าแห่งนี้จะต้องเผชิญกับเรื่องราวลึกลับเหนือธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง
แผนที่ป่าฟรีทาวน์
ไม่ว่าจะเป็นการพบ Bigfoot, เงาลึกลับ, ผี, ซากสัตว์ที่ตายจากการถูกชำแหละอย่างโหดร้ายเหนือมนุษย์, งูยักษ์, ปีศาจ, มนุษย์ต่างดาว, คำสาป และอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก แต่ใช่ว่าป่าฟรีทาวน์จะน่ากลัวเสียจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เพราะมีเพียงบางพื้นที่เท่านั้นที่มีรายงานการพบเห็นเรื่องราวประหลาดอยู่เป็นประจำ อย่างในบริเวณที่มีชื่อว่า Hockomock Swamp ซึ่งสมัยก่อนบริเวณนี้เคยเป็นถิ่นอยู่อาศัยของชนเผ่าอินเดียนแดง ก่อนที่ชาวอินเดียนแดงจะถูกทำสงครามขับไล่ออกจากพื้นที่ ว่ากันว่าบริเวณนี้เป็นสถานที่ฝังศพของชาวอินเดียนแดง และก่อนที่ชาวอินเดียนแดงจะทิ้งผืนป่าฟรีทาวน์ที่เปรียบเมือนบ้านเกิดของพวกเขา ชาวอินเดียนแดงได้สาปผืนป่าทั้งหมดเอาไว้ ทำให่ผู้ที่เข้ามาในป่าแห่งนี้ต้องพบเจอกับคำสาป ที่ปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาตินั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงที่คนขาวเริ่มเข้ามาบุกยึดผืนป่าฟรีทาวน์ เมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา พวกเขายังได้พบกับก่อนหินประหลาดที่มีชื่อเรียกว่า “The Dighton Rock” ความประหลาดของหินก้อนนี้คือมีสัญลักษณ์ รวมถึงภาพวาดแปลกๆเขียนอยู่ที่ก้อนหินเป็นจำนวนมาก แม้นักโบราณคดีจะใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อถอดความหมายของสัญลักษณ์และภาพวาดที่พบบนก้อนหิน แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถอธิบายความหมายบนก้อนหินได้ โดยนักโบราณคดีคาดการณ์ว่าสัญลักษณ์และรูปภาพบนหิน น่าจะถูกวาดโดยชนพื้นเมืองในสมัยก่อน และมันอาจเป็นก้อนหินที่ใช้สำหรับแบ่งเขตแดนของมนุษย์และสิ่งชั่วร้ายก็เป็นได้ ทั้งนี้เหล่านักล่ายูเอฟโอเชื่อว่า The Dighton Rock น่าจะเป็นบริเวณที่ยูเอฟโอของมนุษย์ต่างดาวลงจอด เพราะที่ก้อนหินมีภาพวาดที่มีลักษณะคล้ายกับยูเอฟโอปรากฏอยู่ ทั้งนี้บริเวณดังกล่าวยังมีรายงานการพบเห็นลำแสงประหลาดที่หลายคนเชื่อว่าเป็นลำแสงของยูเอฟโออีกด้วย

แต่ที่หลอนที่สุดก็คือป่าฟรีทาวน์มักเกิดเหตุคนหายอยู่เป็นประจำ โดยบริเวณที่มีคนหายมากที่สุดมีชื่อว่า Assonet Ledge ซึ่งเป็นผาหินที่อยู่สูงเหนือพื้นทะเลสาบประมาณ 80 ฟุต ที่บริเวณนี้มีเรื่องเล่าเกิดขึ้นมากมาย บ้างก็ว่าเห็นคนกระโดดลงน้ำจากผาหินแห่งนี้ แต่เมื่อมีคนกระโดดลงไปช่วย กลับไปพบคนที่กระโดดลงไปในน้ำ และในบ้างครั้งคนที่กระโดดลงไปช่วยกลับหายไปเสียเอง หลายคนจึงเชื่อว่าสิ่งที่กระโดดจากผาหินแท้จริงนั้นไม่ใช่คนแต่เป็นผีที่ต้องการหาตัวตายตัวแทน เนื่องจากผาหินแห่งนี้มักมีคนมาฆ่าตัวตายเป็นประจำ

เรียกได้ว่าเกือบทุกตารางนิ้วของผืนป่าฟรีทาวน์เต็มไปด้วยเรื่องราวลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่ถึงกระนั้นความน่ากลัวของป่าผืนนี้ก็ไม่ได้ทำให้ป่านี้เงียบเหงาแต่อย่างใด เพราะในทุกวันก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนที่ป่าฟรีทาวน์ รวมถึงพิสูจน์เรื่องเร้นลับเป็นจำนวนมาก

วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2560

มะกล่ำต้น สรรพคุณและประโยชน์

มะกล่ำต้น สรรพคุณและประโยชน์ของมะกล่ำต้น 

มะกล่ำต้น
มะกล่ำต้น ชื่อสามัญ Red sandalwood tree, Sandalwood tree, Bead tree, Coralwood tree

มะกล่ำต้น ชื่อวิทยาศาสตร์ Adenanthera pavonina L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Adenanthera gersenii Scheff., Adenanthera polita Miq., Corallaria parvifolia Rumph.) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยสีเสียด (MIMOSOIDEAE
หรือMIMOSACEAE)

สมุนไพรมะกล่ำต้น มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะแค้ก หมากแค้ก (แม่ฮ่องสอน), มะหล่าม (นครราชสีมา), บนซี (สตูล), ไพ (ปัตตานี), มะแดง มะหัวแดง มะโหกแดง (ภาคเหนือ), มะกล่ำตาช้าง (ทั่วไป), หมากแค้ก มะแค้ก (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), มะแค้กตาหนู (คนเมือง), กัวตีมเบล้ (ม้ง), ซอรี่เหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), กล่องเคร็ด (ขมุ), ลิไพ, ไพเงินก่ำ เป็นต้น

Note : ต้นมะกล่ำต้นเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสิงห์บุรี
ลักษณะของมะกล่ำต้น
ต้นมะกล่ำต่ำ จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เป็นไม้ผลัดใบระยะสั้น มีความสูงของต้นได้ถึง 20 เมตร เรือนยอดแผ่กิ่งกว้าง ต้นเป็นทรงโปร่ง เปลือกลำต้นหนาเป็นสีน้ำตาลอ่อน ส่วนเปลือกชั้นในนุ่มเป็นสีครีมอ่อน ๆ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี ชอบแสงแดดจัด พบขึ้นได้ตามป่าเต็งรังและป่าดิบแล้งที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 50-400 เมตร

ใบมะกล่ำต้น ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้นปลายคู่ ออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปวงรี รูปไข่ หรือเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบมน โคนใบไม่สมมาตรกัน ส่วนขอบใบเรียบ มีประมาณ 8-16 คู่ เรียงสลับ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1-3.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2-5.5 เซนติเมตร แผ่นใบบางเป็นสีเขียวเข้ม ใบเรียบเกลี้ยง ด้านหลังใบเกลี้ยงเป็นสีเขียวอมเทา ส่วนท้องใบเป็นสีอ่อนกว่าและมีนวลเล็กน้อย มีขนนุ่ม แกนกลางของใบประกอบยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร ก้านใบย่อยสั้น ไม่มีหูใบ ส่วนก้านใบหลักมีหูใบขนาดเล็กมากและหลุดร่วงได้ง่าย

ดอกมะกล่ำต้น ออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกแคบยาวเป็นรูปทรงกระบอก โดยจะออกดอกตามซอกใบช่วงบนหรือแตกแขนงที่ปลายกิ่ง และจะออกดอกเป็นช่อเดี่ยวหรือหลายช่อรวมกัน ช่อดอกมีความยาวประมาณ 7.5-20 เซนติเมตร ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีขนาดประมาณ 0.3 เซนติเมตร กลีบดอกเป็นสีเหลืองอ่อนอมสีครีม เมื่อดอกแก่จะเปลี่ยนเป็นสีส้ม มีขนอยู่ประปราย ดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบแคบ ปลายกลีบแหลม ขนาดประมาณ 2.5-3 มิลลิเมตร เชื่อมติดกันที่ฐานเป็นหลอด ก้านดอกสั้นเป็นทรงแคบ ส่วนปลายเป็นถ้วยตื้นแยกเป็น 5 กลีบ ก้านดอกยาวประมาณ 1.5-3 มิลลิเมตร มีขนเส้นไหม ส่วนกลีบเลี้ยงดอกที่โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 10 ก้าน อับเรณูมีต่อมอยู่ที่ปลาย ดอกจะมีกลิ่นหอมแบบอ่อน ๆ ในช่วงเย็นคล้ายกลิ่นของดอกส้ม โดยจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน

ผลมะกล่ำต้น ออกผลเป็นฝัก ลักษณะของฝักเป็นรูปแถบแบนยาว มีขนาดกว้างประมาณ 8-12 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 15-30 เซนติเมตร ฝักอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะแตกออกเป็นสองตะเข็บและบิดม้วนงอเป็นเกลียวแน่นเพื่อกระจายเมล็ด และมีรอยคอดตามเมล็ดชัดเจน เมล็ดจะติดอยู่ในฝักเป็นเวลานาน ในหนึ่งฝักจะมีเมล็ดประมาณ 10-15 เมล็ด

เมล็ดมะกล่ำต้น เมล็ดมีลักษณะค่อนข้างกลม แข็ง ผิวมัน และเป็นสีแดงเลือดนกหรือเป็นสีแดงส้ม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-7 มิลลิเมตร โดยจะติดผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม

สรรพคุณของมะกล่ำต้น
ใบมีรสฝาดเฝื่อน ใช้ต้มกินเป็นยาบำรุงกำลัง (ใบ)
ใบใช้ต้มกินเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (ใบ),เมล็ดนำมาฝนกับน้ำทาแก้อาการปวดศีรษะ หรือจะใช้เนื้อไม้ฝนกับน้ำทาขมับก็แก้ปวดศีรษะได้เช่นกัน
(เนื้อ, เมล็ด)

รากเป็นยาแก้ร้อนใน (ราก)
เนื้อไม้มีรสเฝื่อน ใช้ฝนกับน้ำกินกับน้ำอุ่นทำให้อาเจียน

ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าใช้เนื้อไม้ต้มหรือฝนกินเป็นยาแก้อาเจียน (เนื้อไม้)
ช่วยแก้อาเจียน (ราก)
รากมีรสเปรี้ยวขื่นเย็น ใช้เป็นยาขับเสมหะ แก้เสมหะ กัดเสมหะในคอ (ราก)
ช่วยแก้หืดไอ แก้เสียงแหบแห้ง และแก้อาการสะอึก (ราก)
ช่วยแก้ลมในท้อง (ราก)
เมล็ดมีรสเฝื่อนเมา นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นเม็ดกินแก้อาการจุกเสียด (เมล็ด)
เนื้อในเมล็ดใช้ผสมกับยาอื่นเป็นยาระบายได้ (เนื้อในเมล็ด)
ใบใช้ต้มกินเป็นยาแก้บิด แก้ท้องร่วง (ใบ)เนื้อในเมล็ดมีรสเมาเบื่อ นำมาบดเป็นผงแล้วปั้นเป็นมัด ใช้กินเป็นยาขับพยาธิไส้เดือนและพยาธิเส้นด้าย หรือจะใช้เมล็ดคั่วไฟเอาเปลือกหุ้มสีแดงออก แล้วนำมาบดเป็นผงผสมกับยาระบาย ใช้เป็นยาขับพยาธิ เบื่อพยาธิไส้เดือนหรือพยาธิตัวตืด (เมล็ด)
เมล็ดนำมาบดผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นเม็ด ใช้กินเป็นยาแก้หนองใน (เมล็ด)
เมล็ดและใบมีรสเฝื่อนเมา เป็นยาแก้ริดสีดวงทวารหนัก (เมล็ดและใบ)
ใช้เป็นยาฝาดสมาน (ใบ)
เมล็ดนำมาบดให้เป็นผงใช้โรยใส่แผลฝีหนอง ช่วยดับพิษฝี ดับพิษบาดแผล (เมล็ด)เมล็ดนำมาฝนกับน้ำทาแก้อักเสบ (เมล็ด)
ส่วนรากช่วยถอนพิษฝี (ราก)
ใบนำมาต้มกินแก้โรคปวดข้อ แก้ลมเข้าข้อ (ใบ)

ประโยชน์ของมะกล่ำต้น
ยอดอ่อนและใบอ่อนมีรสมัน ใช้กินเป็นผักสดร่วมกับอาหารได้หลายประเภท เช่น ลาบ ส้มตำ น้ำตก และอาหารประเภทที่มีรสจัด หรือนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริก หรือนำมาแกงก็ได้ โดยคุณค่าทางโภชนาการของยอดอ่อนมะกล่ำต้นต่อ 100 กรัม ประกอบไปด้วยโปรตีน 0.7 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 0.6 กรัม, ไขมัน 1.51 กรัม, ใยอาหาร 1.7 กรัม, วิตามินเอ 6,155 หน่วยสากล, วิตามินบี 3 37 มิลลิกรัม (ข้อมูลจากภาควิชาเทคโนโลยีการอาหารและโภชนาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม ปี พ.ศ. 2537)
เนื้อในเมล็ดนำมาคั่วกินเป็นอาหารว่างได้ โดยจะมีรสมัน
เมล็ดสามารถนำมาใช้ประดับตกแต่งเสื้อผ้าหรือตุ๊กตาได้
ไม้มะกล่ำต้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านเชื้อเพลิงได้ เพราะเป็นฟืนที่ให้ความร้อนได้สูงถึง 5,191 แคลอรีต่อกรัม
เนื้อไม้มะกล่ำต้น จะให้สีแดงที่ใช้สำหรับย้อมผ้าได้

เนื้อไม้ใช้ทำเสาบ้าน ใช้ในการก่อสร้าง ทำเครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ ทำเรือ เกวียนได้ดี ฯลฯ เพราะเป็นไม้เนื้อแข็งและหนักมีบ้างที่ปลูกมะกล่ำต้นเป็นไม้ประดับ

เอกสารอ้างอิง
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “มะกล่ำต้น”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. 
[14 พ.ค. 2014].
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.
“มะกล่ำต้น (Ma Klam Ton)”.  
(ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  หน้า 210.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  
(คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “มะกล่ำตาช้าง Red Sandalwood tree”.  หน้า 36.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ.  “มะกล่ำต้น”.  
(พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). 

วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วิธีขจัดกลิ่นเหม็นในบ้านง่ายๆด้วย มะนาว

แนะนำเลย! 3 วิธีขจัดกลิ่นเหม็นในบ้านง่ายๆด้วย มะนาว

“มะนาว” (Lime) ผลไม้ไทยสารพัดประโยชน์ เพราะนอกจากประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว ยังสามารถนำมาทำความสะอาดและ ดูแลบ้านอีกด้วย โดยมีวิธีง่าย ๆปลอดภัย ปราศจากสารเคมีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่

1. ดับกลิ่นเหม็นจากถังขยะ ปัญหากลิ่นขยะที่เกาะติดถังขยะจนส่งกลิ่นเหม็นรบกวนไปทั้งห้อง โดยเฉพาะพวกขยะเปียกต่างๆ วิธีแก้ปัญหาง่ายๆ คือ เพียงนำเปลือกมะนาวใส่ลงในถังขยะ ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง กรดและเปลือกของมะนาวจะช่วยขจัดเชื้อโรค ดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และช่วยให้ถังขยะมีกลิ่นหอมอีกด้วย

2. ขจัดกลิ่นเหม็นในท่อน้ำทิ้งท่อน้ำทิ้งเป็นแหล่งรวมของเสียภายในบ้านเต็มไปด้วยเชื้อโรคและสิ่งสกปรกมากมาย มะนาวก็สามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ด้วยเช่นกัน เพียงผสมน้ำมะนาวครึ่งถ้วยตวงลงไปในน้ำร้อนจัดแล้วเทลงในท่อน้ำ ทิ้งไว้สักครู่จึงราดน้ำสะอาดตามลงไป มะนาวจะช่วยขจัดกลิ่นเหม็นแล้วยังช่วยขจัดคราบไขมันในท่ออีกด้วย

3.ขจัดกลิ่นเหม็นในกล่องพลาสติกปัญหาความมันและกลิ่นเหม็นเมื่อต้องล้างกล่องใส่อาหารพลาสติกที่ล้างเท่าไหร่ก็ไม่หายมัน แต่เราสามารถกำจัดได้โดยการผ่ามะนาวครึ่งลูก หรือใช้เปลือกมะนาวมาถูให้ทั่วกล่อง แล้วทิ้งไว้สักครู่จึงล้างทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างจานตามปกติ กล่องพลาสติกจะหายมันและ
ไม่มีกลิ่นเหม็นจากอาหารเหลืออยู่แล้ว

ปลูกผักบุ้งจีนในตะกร้าลอยน้ำ แค่ 20 วัน ก็เก็บขายได้เลย


ลองดูนะ! ปลูกผักบุ้งจีนในตะกร้าลอยน้ำ แค่ 20 วัน ก็เก็บขายได้เลย
ลองดูนะ! ปลูกผักบุ้งจีนในตะกร้าลอยน้ำ แค่ 20 วัน ก็เก็บขายได้เลย
วิธีการปลูกผักบุ้งจีนง่ายๆ สามารถทำไว้กินเองหรือจะขายก็ได้ แล้วแต่ถนัด ใช้เวลาเพียงแค่ 20 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตได้แล้ว

ซึ่งวิธีการทำนั้นก็ง่ายๆ ใช้เพียงแค่ข้อปฏิบัติ 4 ข้อนี้เท่านั้นครับ
1. หาซื้อเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนตามร้านขายเอามาแช่น้ำไว้ 1 คืน

2. หาถาดที่มีรูเจาะด้านล่างให้น้ำเข้าถึงได้และรากผักบุ้งรอดลงน้ำได้ ไม่ต้องรูกว้างเอาแบบตาถี่ๆ เลย

3. หาฟองน้ำหนาประมาณ 1 นิ้ว หรือ ถ้าไม่มีก็ใช้สำลีหรือกระดาษชุบน้ำให้ชุ่มวางรองพื้นตะกร้า และให้บ่มเมล็ดพันธุ์หมกรักษาความชื้นไว้ในวัสดุนั้น

4. วางลอยถาดในภาชนะเก็บน้ำให้พื้นตะกร้าแค่แตะน้ำ ในน้ำใส่ปุ๋ยด้วย โดยปุ๋ยนั้นแล้วแต่ชอบ ถ้าให้ดีแนะนำว่าใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ แค่นี้ 10 กว่าวันถึง 20 ก็เก็บผักบุ้งกินได้และนำไปขายได้แล้ว
ง่ายสุดๆ ถ้าใครมีเวลามีพื้นที่ก็สามารถปลูกส่งขายที่ตลาดกันได้เลย ความต้องการบริโภคนั้นสูงอยู่แล้ว แนวทางการทำอาชีพแบบอิสระ ทำได้ที่บ้านคุณ อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนาครับ ลุ้ยเลย!!

แค่ปลูกพืชชนิดนี้ในบ้านจะช่วยดึงดูดเงินทองเข้าสู่บ้านของคุณ


ลองดูสิ..แค่ปลูกพืชชนิดนี้ในบ้านจะช่วยดึงดูดเงินทองเข้าสู่บ้านของคุณ

ต้นคลาสซูล่า ( Crassula Ovata หรือ Jade Plant ) ต้นไม้สวรรค์ หรือ ต้นใบเงิน พืชชนิดนี้ จะช่วยกรองอากาศและปกป้องคุณจากฝุ่นละอองและช่วยเพิ่มพลังงานบวกเข้ามาสู่บ้านของคุณ
คุณรู้ไหมว่าสิ่งที่เรียกว่าฮวงจุ้ยคืออะไร?
ฮวงจุ้ยเป็นปรัชญาจีนเก่าที่มีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและผู้คน ปรัชญาโบราณนี้มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับมากและนักออกแบบตกแต่งภายในนิยมนำมาใช้ร่วมกับการดำเนินงาน

ทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังปรัชญานี้คือทุกสิ่งบนโลกร่วมอยู่ในจักรวาลที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่รวมเข้ากับพลังงานชีวิตหรือที่เรียกกันว่าพลังจิหมายถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตที่มีผลบวกต่อชีวิตเรา

ตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุไว้ พืชชนิดนี้ช่วยปล่อยพลังงานบวกที่เป็นประโยชน์ในทุกพื้นที่ของชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเงิน ดังนั้นหากคุณต้องการยกระดับสถานะทางการเงินของคุณ คุณควรมีพืชชนิดนี้ไว้ในบ้านของคุณ อีกทั้งมันยังนำความโชคดีมาให้คุณอีกด้วย
ลักษณะของพืชชนิดนี้

พืชชนิดนี้เป็นที่นิยมทั่วโลก มันมีใบสีเขียวสวยงามมีลักษณะคล้ายกับเหรียญ ใบหนาเรียบเนียนสามารถออกดอกเป็นสีชมพูหรือสีขาวขนาดเล็กคล้ายรูปดาว ดอกของมันจะปรากฏในช่วงฤดูหนาวและบานสะพรั่งจนถึงฤดูใบไม้ผลิ ในเดือนตุลาคมถึงเมษายน มันจะแตกหน่อออกมาใหม่แต่จะกลายเป็นสีน้ำตาลและเติบโตเป็นไม้ยืนต้น

สัญญลักษณ์ของพืช
พืชชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภและความโชคดี เหมาะที่จะนำไปเป็นของขวัญสำหรับขึ้นบ้านใหม่ตามที่อ้างอิงจากปรัชญาจีน และสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับวางพืชชนิดนี้คือมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านคุณ นอกจากนี้จำนวนใบของพืชชนิดนี้จะส่งผลต่อโชคลาภและความมั่งคั่งอีกด้วยเช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เหตุการณ์คลั่งดอกทิวลิป


เหตุการณ์คลั่งดอกทิวลิป
พูดถึงดอกทิวลิป เชื่อกันว่า หลายคนคงรู้จักดอกไม้ชนิดนี้ค่อนข้างดี ในฐานะดอกไม้อันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเนเธอแลนด์ แต่ในสมัยก่อน เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดอกทิวลิปเป็นมากกว่าสัญลักษณ์ แต่มันยังเป็นทุกอย่างของชาวเนเธอแลนด์ในสมัยนั้นและยังเป็นต้นเหตุแห่งการเกิดฟองสบู่ครั้งสำคัญอีกด้วย
(การเติบโตของทิวลิป)
เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ.1636 บรรดาชาวเนเธอแลนด์หรือที่เรียกอีกชื่อว่า ชาวดัตช์ต่างพากันใจจดใจจ่ออยู่กับดอกทิวลิป หรือ พูดให้ถูกคือ ราคาของมัน โดยในช่วงเวลาดังกล่าวชาวดัตช์ต่างพากันติดตามราคาดอกทิวลิปพอ ๆ กับที่นักลงทุนในยุคนี้นั่งเฝ้าราคาหุ้นเลยก็ว่าได้ เนื่องจากในช่วงเวลานั้น 

ในประเทศเนเธอแลนด์ได้เกิดมีความต้องการดอกทิวลิปมากยิ่งกว่าปริมาณที่มีอยู่หลายเท่า
ขณะนั้น เนเธอแลนด์เพิ่งจะผ่านพ้นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำมาไม่นาน ชาวดัตช์จำนวนมากมีเงินเหลือเฟือและพวกเขามองหาสินค้าที่เหมาะจะนำมาใช้เก็งกำไร ซึ่งสินค้าที่ถูกเลือกก็คือ ดอกทิวลิป เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้คนต่างพากันเกิดความคลั่งไคล้ดอกไม้ชนิดนี้มาก

มีการให้ราคาดอกทิวลิปที่มีสีสันแปลก ๆ ในราคาที่สูงลิ่ว จนทำให้เกิดการซื้อขายดอกทิวลิปเพื่อเก็งกำไรกันอย่างแพร่หลาย ผู้คนจากหลากหลายอาชีพ ทั้งช่างฝีมือ พ่อค้า นักกฏหมาย แม้กระทั่งนักบวชต่างหันมาเป็นพ่อค้ารายวันเพื่อทำกำไรจากทิวลิป
(การเก็งกำไรทิวลิป)
ทั้งนี้ ดอกทิวลิปที่เป็นที่ต้องการในยุคนั้น จะมีราคาสูงถึง 3,000 กิลเดอร์ซึ่งเงินจำนวนนี้มากพอที่จะซื้อของต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ได้ทั้งหมด ได้แก่ หมู 8 ตัว, วัว 4 ตัว, แกะ 12 ตัว, ข้าวสาลี 24 ตัน, ข้าวไรย์ 48 ตัน, ไวน์ (ขนาดความจุ 340ลิตร) 2 ถัง, เรือ 1 ลำ, เบียร์ 4 ถัง, เนย 2 ตัน, เนยแข็ง 500 กิโลกรัม, ถ้วยเงิน 1 ใบ และ เตียง 1 หลัง ขณะที่หากเป็นดอกทิวลิปชนิดที่หายากที่สุดแล้ว อาจมีค่าเทียบเท่ากับเงินมากกว่าหนึ่งแสนเหรียญสหรัฐในปัจจุบันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ภาวะคลั่งดอกทิวลิปได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว โดยใน เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1637 

ตลาดดอกทิวลิปก็ล้มครืน เนื่องจากกระแสความต้องการที่เริ่มตกลง ส่งผลให้ราคาดอกทิวลิปพากันดิ่งร่วงลงอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงร้อยละหนึ่งของราคาเดิมหรือน้อยกว่านั้น ทำเอาบรรดาพ่อค้าจำนวนมากหมดตัวไปตาม ๆ
กันและเหตุการณ์คลั่งดอกทิวลิปก็ได้จบลงพร้อม ๆ กับความฝันของนักลงทุน
ทั้งหลาย
(บางที เราอาจจะเรียกพวกนี้ว่า แมงเม่ายุคแรก ก็คงจะได้)

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คณิตศาสตร์มรณะต้นกาบหอยแครงมีการคำนวณว่าเมื่อไรถึงจะฆ่าเหยื่อ


คณิตศาสตร์มรณะ : ต้นกาบหอยแครงมีการคำนวณว่าเมื่อไรถึงจะฆ่าเหยื่อ
venus-flytraps-count
ไม่เหมือนกับพวกสัตว์นักล่าที่ปราดเปรียวทั้งหลาย พืชกินเนื้อสัตว์แบบต้นกาบหอยแครง ต้องรอให้เหยื่อแมลงก้าวเข้าไป “ขากรรไกร” ของพวกมันอย่างแท้จริง ก่อนที่พวกมันจะจับเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย แต่พืชเหล่านี้ไม่ได้จัดการทันทีเหยื่อเข้ามาในกับดักของพวกมัน นักวิทยาศาสตร์พบว่าพวกมันจะนับจำนวนการสัมผัสจากเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเพื่อการตอบสนองที่เหมาะสม

สัมผัสแรกจากแมลงบอกกาบหอยแครงว่า “น่าสนใจ แต่ยังทำอะไร” สัมผัสที่สองหมายถึง “น่าจะเป็นอาหาร” กระตุ้นให้มันปิดกับดัก และสัมผัสจากแมลงที่ถูกจับอีกสามครั้งบอกมันว่า 
“เริ่มย่อยได้!”

กาบหอยแครงเป็นพืชพื้นเมืองของรัฐนอร์ทแคโรไลนาและเซาท์แคโรไลนาในสหรัฐอเมริกา มีขนาดเล็กเจริญเติบโตได้ในที่ชื้นดินปนทราย พวกมันชดเชยการขาดสารอาหารในดินแบบนั้น ด้วยการกินแมลงและแมงมุม พฤติกรรมการกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารของพืชชนิดนี้ ทำให้ได้รับความสนใจจากนักธรรมชาติวิทยา ชาร์ลส์ ดาร์วิน ผู้เขียนชื่นชมเกี่ยวกับพวกมัน ตีพิมพ์ในปี 1875 เรียกกาบหอยแครงว่า “พืชกินแมลง หนึ่งในพืชที่น่าประหลาดใจที่สุดในโลก”

ดาร์วินหลงใหลในพืชเหล่านี้มาก ถึงกับระบุไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเขา “ความจริงที่ว่าพืชจะหลั่งของเหลวที่มีกรดและเชื้อหมักคล้ายกับน้ำย่อยอาหารของสัตว์ เมื่อได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม เป็นการค้นพบที่น่าทึ่ง”

ส่วนที่ใช้จับเหยื่อของกาบหอยแครงนั้น นักวิจัยเรียกว่า “กระเพาะอาหารสีเขียว” มันยื่นต่อออกมาจากปลายใบและมีลักษณะเป็นสองบานพับ กลีบรูปพระจันทร์เสี้ยวจะถูกรายล้อมตามขอบไปด้วยขนที่จะล็อคกันเมื่อกับดักปิด 
ผิวด้านในของกับดักมีโครงสร้างคล้ายขนของใบงอกขึ้นมา เป็นตัวรับรู้การสัมผัสจากแมลงที่เข้ามา และการแตะขนใบสองครั้งเป็นตัวกระตุ้นให้มันจัดการจับเหยื่อ เมื่อเหยื่อถูกจับได้น้ำย่อย จะหลั่งออกมาทำการย่อยและดูดซับสารอาหาร ทำให้แมลงเหลือแต่เปลือกที่ว่างเปล่า

นักวิทยาศาสตร์รายงานว่าจากการสังเกตพฤติกรรมก่อนหน้านี้พบว่า กาบหอยแครงจะปิดกับดักหลังจากได้รับการสัมผัสที่ขนใบสองครั้ง แต่การศึกษาครั้งใหม่ได้มองลึกลงไปอีกว่ากาบหอยแครงอาจใช้การสัมผัสนี้ในการแยกแยะแมลงที่เข้ามาว่าเป็นอาหาร แล้วจับและกินมัน

ในการแปลสัญญาณเหล่านี้ นักวิจัยได้ต่อสายไฟฟ้าเข้ากับกาบหอยแครง เพื่อบัน​​ทึกกระแสไฟฟ้าที่ปล่อยออกมา แล้วนักวิจัยก็กระตุ้นกาบหอยแครงด้วยตนเอง โดยการจำลองพฤติกรรมการล่าเหยื่อ ในขณะเดียวกันก็ทำการตรวจวัดการตอบสนองของมัน

นักวิจัยพบว่าขนใบเชื่อมโยงกับสองส่วนสำคัญคือ เนื้อเยื่อที่ควบคุมกลไกการปิดกับดักและระบบต่อมไร้ท่อซึ่งทำหน้าที่ย่อยสลายเหยื่อ หลังจากกับดักได้รับการสัมผัสสองครั้ง การดิ้นรนอย่างคลุ้มคลั่งของแมลงทำให้มันสัมผัสกับขนใบซ้ำแล้วซ้ำอีก คล้ายกับเสียงซ้ำๆของระฆังแจ้งอาหารค่ำ “มาเอาไป!” การสัมผัสครั้งหลังๆนี้กระตุ้นให้มันปล่อยน้ำย่อยออกมา

นักวิทยาศาสตร์ยังตั้งข้อสังเกตว่าในระหว่างการย่อย เซลล์ต่อม 
(เซลล์ย่อยอาหาร) ในกับดักได้ดูดซับและเก็บโซเดียมจากแมลงได้เป็นจำนวนมาก นักวิจัยกล่าวว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่าพวกมันจะใช้แร่ธาตุนี้อย่างไร แต่ชี้ว่ามันอาจจะเก็บอยู่ในเนื้อเยื่อลำต้นและใบเพื่อช่วยรักษาสมดุลที่เหมาะสมของน้ำในเซลล์ของพวกมัน

รายการบล็อกของฉัน